วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คำอธิบายง่ายๆ กรณี "เขาพระวิหาร"‏


ถ้าเปรียบปราสาทพระวิหารเป็น 'รถยนต์' ศาลโลกตัดสินว่า ตัวรถเป็นของ 'เขมร' ส่วนล้อรถเป็นของ 'ไทย' ถ้าเราพูดว่า 'รถ' ก็ย่อมหมายถึง 'รถทั้งคัน' ซึ่งรวมทั้ง 'ตัวรถและล้อรถ' ใช่ไหม? ดังนั้น 'ตัวรถที่ไม่มีล้อ' ก็ยังไม่ใช่ 'รถยนต์' เช่นเดียวกัน 'ล้อรถ 4 ล้อ...ที่ไม่มีตัวรถ' ก็ไม่ใช่ 'รถยนต์' ดังนั้นจะเรียกว่ารถยนต์ได้....ต้องรวมกันทั้ง 'ตัวรถและล้อรถ' เท่านั้น ดังนั้นถ้าพูดถึงปราสาทพระวิหาร ก็จะไม่ได้หมายถึงตัวปราสาทหลักเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมถึง บันไดทางขึ้น สธูป และเทวะสถานรายรอบตัวปราสาทหลักด้วย ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกได้ ก็เหมือนกับคุณจะไปจดทะเบียนรถยนต์ แล้วบอกว่าจะขอจดทะเบียนเฉพาะตัวรถ ไม่รวมล้อรถ เพราะล้อรถไม่ใช่ของผม ก็ไม่สามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหามาตลอด เพราะเขมรต้องการความชอบธรรมเชิงนิตินัย (ทางพฤตินัยเค้าได้ไปนานแล้ว) แต่ครั้นจะมาบอกขอให้ไทยทำสนธิสัญญา บอกว่ายอมรับว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมร ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะไทยไม่มีทางยอม เพราะตั้งแต่อดีต เรายื่นคัดค้านมาตลอดว่า แม้เราจะยอมรับในคำตัดสินของศาลโลก แต่เราไม่ยอมรับว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมร เราไม่เคยยอมรับเชิงนิตินัยแม้แต่วันเดียว ดังนั้น เขมรผู้ชาญฉลาด ก็หาทางอื่นที่จะได้ความชอบธรรมเชิงนิตินัยเหนือปราสาทพระวิหาร โดยขอยื่นจดทะเบียนมรดกโลก ในนามของเขมร ซึ่งแน่นอน ไทยก็คัดค้านว่า ในเมื่อบันไดทางขึ้น และสธูป เทวสถานบางส่วนมันเป็นของไทย เขมรจะไปขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารเป็นของตนคนเดียวได้ไง ซึ่งทางมรดกโลกก็ให้กลับมาตกลงกันก่อนว่าจะเอายังไง มาคราวนี้เขมรก็ฉลาดอีก บอกว่าจะขึ้นทะเบียนในส่วนของตนคือเอาแค่ตัวปราสาทเท่านั้น ไม่กินดินแดนของไทยเลย แต่เค้าก็ยังจดทะเบียนไม่ได้อยู่ดี เพราะอะไร ก็เหมือนกับ เขมรจะเอาตัวรถไม่รวมล้อไปขึ้นทะเบียน มันก็ขึ้นไม่ได้ใช่ไหม เลยต้องมาขอความยินยอมจากไทย เจ้าของล้อรถ ว่าเขมรจะขึ้นทะเบียนรถคันนี้ แต่ไม่รวมล้อรถน่ะ ไทยอนุญาตไช่ไหม ฝ่ายไทย (ก็รัฐบาลนอมินี..) แกล้งโง่หรือไงไม่ทราบ? ได้ลงนามยินยอมไป แล้วให้ รมต.นพดล มาบอกกับคนไทยว่า เขมรจะขึ้นเฉพาะตัวรถเท่านั้น ฮ่าๆๆ แต่ 'ล้อรถ' ยังเป็นของเราอยู่ เราไม่ได้เสียประโยชน์อะไร ซึ่งเป็นการพูดโง่ๆ เพราะถ้าไทยยอมอย่างนี้ เขมรก็จะสามารถจดทะเบียนได้ เพราะได้คำยินยอมจากเจ้าของล้อรถแล้ว คราวนี้ปราสาทพระวิหารก็จะ กลายเป็นของเขมรถูกต้องตามนิตินัยทันที และจะเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทย ยอมรับ ทางนิตินัย ว่าเข้าพระวิหารเป็นของเขมร แม้จะมีหมายเหตุเล็กๆ ท้ายคำขึ้นทะเบียนว่า ที่ขึ้นทะเบียนน่ะ ไม่รวมล้อรถก็ตาม แต่รถคันนี้ก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นของเขมรถูกต้องตามนิตินัยแล้ว ซึ่งเมื่อวานรัฐมนตรีโง่ๆ ของไทย ก็ออกมาพูดว่า จะเอาบันไดทางขึ้น และสธูปเทวะสถานรอบๆ ไปขึ้นเป็นมรดกโลกบ้าง ซึ่งก็เป็นการเจตนาโกหก เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่คุณจะเอาเฉพาะล้อรถ 4 ล้อ ไปจดทะเบียน ใครจะไปจดให้คุณ ล้อมันจะมีความสำคัญก็ต่อเมื่อยู่คู่กับตัวรถ แต่นี่คุณเซ็นยินยอมให้เขมรเอาตัวรถไปจดทะเบียนแล้ว ล้อรถที่คุณมีคุณก็เอาไปทำอะไรไม่ได้ ทางออกที่พูดมาโดยตลอด คือ ทำไม? ทำไมไม่ยื่นจดทะเบียนร่วมกัน? 'ในเมื่อรถไม่มีล้อ....มันก็ยังไม่ใช่รถ!!!! มันจดทะเบียนไม่ได้ ซึ่งถ้าไทยไม่ยอม เขมรก็จดไม่ได้แน่นอน เพราะเจ้าของล้อรถไม่ยอม ดังนั้น เราควรยืนยัน 'ยื่นจดทะเบียนเป็นเจ้าของร่วม' เท่านั้น ไม่ใช่ไปเซ็นยินยอมให้เค้าจดทะเบียน ในนามเค้าคนเดียว ซึ่งก็ออกมาพูดโง่ๆ อีกว่า ไทยได้ยื่นขอจดทะเบียนร่วมไปแล้ว (ซึ่งยื่นไปนานแล้วหล่ะ) แต่เขมรมันไม่ยอม มันจะขึ้นในชื่อมันเพียงคนเดียว เรื่องเลยคาราคาซังกันมายาวนาน เพราะเขมรมันจะเอาผลประโยชน์คนเดียว อยากเป็นเจ้าของปราสาทคนเดียว ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีล้อรถ แต่ดันอยากไปจดทะเบียนรถทั้งคัน เป็นของตนคนเดียว ในเมื่อเขมรมันยังไม่ยอมจดทะเบียนร่วมเลย แล้วทำไมคราวนี้ไทยต้องไปยอมมัน เข้าใจหรือยังหล่ะ ว่าไทย แทนที่จะยืนกรานขอจดร่วม แต่วันนี้นายนพดลใจดี สละสิทธิที่ควรมีของไทยที่จะเป็นเจ้าของร่วม ไปเซ็นยินยอมให้เขมรเป็นเจ้าของผู้เดียว ทั้งที่ถ้าไทยไม่ยอม เค้าก็ไม่สามารถจดได้ และมันก็เป็นความชอบธรรมของเรา ไม่ได้โกงเค้า เพราะเราเป็นเจ้าของล้อรถ และรถไม่มีล้อ มันก็ไม่ใช่รถ เพราะฉนั้น เราคือเจ้าของรถร่วม ไม่ใช่ รถเป็นของเขมร แต่ล้อเป็นของเรา คุณแยกความต่างออกไหม สิ่งที่เขมรพยายามทำคือ พยายามบอกว่า รถน่ะเป็นของเค้าคนเดียว ไทยน่ะเป็นเจ้าของล้อรถเท่านั้น ทั้งๆที่จริงไม่ใช่ เราคือเจ้าของร่วม เพราะรถไม่มีล้อ ก็ไม่ใช่รถ ไปจดทะเบียนไม่ได้ ผมเลยไม่เข้าใจทำไมถึงไปสละสิทธิในการเป็นเจ้าของร่วม โดยกลับมายอมรับว่าไทยไม่ใช่เจ้าของร่วม แต่ไทยเป็นเพียงเจ้าของล้อรถ คุณเข้าใจถึงผลประโยชน์ที่ไทยเสียไปหรือยัง คราวนี้มาดูสิ่งที่จะตามมา ที่ว่าการทำแบบนี้ สุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน ก็เพราะเมื่อเขมรจดทะเบียนโดยไทยยินยอมแล้ว เขมรก็จะได้สิทธิทางนิตินัย ได้ขึ้นชื่อว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรโดยชอบธรรม ดังนั้นพื้นที่ทับซ้อนรอบบริเวณปราสาทที่ยังตกลงกันไม่ได้ เพราะมันก่ำกึ่งเหลือเกินว่าเป็นพื้นที่ของใคร ถ้ามีข้อพิพาท ต้องขึ้นศาลโลกอีกที คุณคิดว่าเค้าจะตัดสินให้ใครล่ะ ระหว่างเจ้าของตัวรถที่จดทะเบียนเป็นเจ้าของรถถูกต้องโดยความยินยอมเห็นชอบของเจ้าของล้อแล้ว ซึ่งก็คือเขมร หรือจะให้ไทย เจ้าของล้อรถเท่านั้น ที่ไม่มีอะไรทางนิตินัยระบุว่าเป็นเจ้าของเลย แถมเคยไปเซ็นยินยอมให้อีกฝ่ายขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวด้วย