วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ทักษิณฟ้อง 'สนธิ' กับพวกเรียก 100 ล้าน

ทักษิณฟ้อง 'สนธิ' กับพวกเรียก 100 ล้าน
มาจาก ไทยรัฐปีที่ 59 ฉบับที่ 18445 วันอังคาร ที่ 22 กรกฎาคม 2551
ที่ศาลแพ่ง วันที่ 21 ก.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายวานิจ ปิณฑวนิช ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทไทยเดย์ดอทคอม จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานละเมิด เรียกค่า เสียหาย 100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยโจทก์ฟ้องว่า ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 51 ถึงปัจจุบัน จำเลย กับพวก รวม 5 คน ประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายสมศักดิ์ โกสัยสุข ในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกันจัดการชุมนุม และเปิดเวทีปราศรัย ตามสถานที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
กล่าวให้ร้ายจนได้รับความเสียหาย
โดยจำเลยกับพวกออกแถลงการณ์รวม 5 ฉบับ อีกทั้งจำเลยยังได้กล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อคืนวันที่ 25, 26 และ 31 พ.ค. 51 มีเนื้อหาให้ร้ายโจทก์ ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตาม ความผิดด้วย ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณา และนัดชี้สองสถาน วันที่ 27 ต.ค.นี้ เวลา 13.30 น. นอกจากนี้โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่ง ห้ามไม่ให้จำเลยที่ 1 กระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ รวมทั้งห้ามนำเอาถ้อยคำที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นโจทก์มากล่าวในทางเสียหาย และห้ามจำเลยที่ 2 และ 3 เผยแพร่ถ้อยคำของจำเลยที่ 1 ซึ่งอาจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
ทนายเบิกความเหตุขอศาลสั่งคุ้มครอง
นายวานิจ ปิณฑวนิช ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเบิกความยืนยันถึงความจำเป็น ที่ต้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เนื่องจากจำเลยได้กล่าวให้ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวให้ได้รับความเสียหาย และถูกดูหมิ่น เกลียดชัง จากประชาชนทั่วไป รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้ การไต่สวนนายวานิจ ยังไม่แล้วเสร็จ ศาลนัดไต่สวนต่ออีกครั้ง และให้ทนายจำเลยได้ซักค้าน โดยกำหนดไต่สวนในวันที่ 23 ก.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
ทัพบกแจ้งจับ ดา ตอร์ปิโด หมิ่นเบื้องสูง
วันเดียวกัน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ด้วยกองทัพบกได้รับทราบข้อมูลว่า นางดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยในการชุมนุม ที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 18 ก.ค.51 โดยมีการใช้ถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันเบื้องสูง อันเป็นการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และถือเป็นการมิบังควรอย่างที่สุด กองทัพบกจึงมีหนังสือด่วนที่สุด เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 51 ถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ดำเนินคดีกับนางดารณี หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง ทั้งนี้ กองทัพบกในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ในการเทิดทูนไว้ ซึ่งสถาบัน ชาติ ศาสนา พระ มหากษัตริย์ จะดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำใดๆ อันเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ กองทัพบกจะติดตามผลของการดำเนินคดีในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป
นปก.ระดมพลไล่ ป.ป.ช.-ปชป.
อีกด้านความเคลื่อนไหวของเครือข่ายกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตแนวร่วม นปก.นั้น ยังคงปักหลักเปิดเวทีเสียงประชาชน ที่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศใต้ โดยมีแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายสุชาติ นาคบางไทร นายชูชีพ ชีวสุทธิ นายชินวัตร หาบุญพาด นายชูพงศ์ ถี่ถ้วน สลับสับเปลี่ยนขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีกลุ่มพันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ อย่างรุนแรง โดยในวันที่ 22 ก.ค. ขอเชิญพี่น้องประชาชนไปรวมตัวให้กำลังใจรัฐบาลในเวลา 08.00 น. จากนั้นก็จะเคลื่อนขบวนไปขับไล่ กกต. พรรคประชาธิปัตย์ และ ป.ป.ช. ซึ่งวันเดียวกัน นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ออกประกาศเชิญชวนผู้รักประชาธิปไตย มารวมพลังชุมนุมที่หน้า ป.ป.ช. ถนนพิษณุโลก เพื่อเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ลาออกทั้งคณะ ในวันที่ 22 ก.ค. เวลา 10.00-12.00 น.
พันธมิตรเดินสายไปปราศรัยชลบุรี
ที่หน้าอำเภอเมืองชลบุรี ช่วงเย็นวันเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรเครือข่ายจังหวัดชลบุรี ได้จัดตั้งเวทีขนาดใหญ่ให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขึ้นปราศรัย ประกอบด้วย นายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงานการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสุริยะใส กตะศิลา และนายการุณ ใสยงาม ก่อนเริ่มปราศรัยได้เชิญชวนแนวร่วม ยืนไว้อาลัยให้กับนายสุวิทย์ วัดหนู แกนนำพันธมิตรบางละมุง ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ จากนั้นเริ่มกล่าวโจมตีรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และคณะต่างๆนานา รวมทั้งกล่าวถึง “ดา ตอร์ปิโด” ที่พูดถึงสถาบันด้วย โดย พล.ต.ต.บัณฑิต คุณจักร์ ผบก.ภ.จ.ชลบุรี จัดกำลังตำรวจกว่า 300 นาย ไว้ควบคุมฝูงชน พร้อมตรวจค้นผู้มาร่วมฟัง

รัฐบาลล้มรายการโต้เอเอสทีวี

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 21 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ระบุว่าจะให้มีการจัดรายการของทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ช่วงเวลา 22.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. เป็นต้นไป เพื่อตอบโต้สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีที่มีการโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่องว่า หลังจากที่นายกฯมีแนวคิดดังกล่าว ทางทีมโฆษกรัฐบาล ได้ประสานไปยังสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที พบว่าช่วงเวลาดังกล่าวสถานีมีสัญญาผูกพันกับบริษัทเอกชนที่เช่าเวลาผลิตรายการร่วมกับสถานี และยังไม่หมดอายุสัญญา เมื่อประสานไปยังเอกชน ได้รับคำยืนยันว่าพร้อมจะผลิตรายการต่อไป ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับรายการของเอ็นบีทีและเอกชน และป้องกันข้อกล่าวหาต่างๆ จึงจำเป็นต้องยุติการออกอากาศรายการในวันที่ 21 ก.ค.นี้ ไปก่อนแต่แนวคิดที่จะมีรายการเสนอผลงานนโยบายของรัฐบาลผ่านทางเอ็นบีที หรือทีพีบีเอสยังคงมีอยู่ต่อไป ขึ้นอยู่กับว่าจะประสานงานกับทั้ง 2 สถานี ว่าจะเริ่มต้นได้เมื่อใด ทั้งนี้ จะให้ทีมโฆษกรัฐบาลเพิ่มความถี่การแถลงข่าวตอบโต้ทางการเมืองให้มากขึ้น เพราะจะให้อีกฝ่ายหยุด แต่อีกฝ่ายยังคงรุกไล่ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้
ปรับเกมลุยดึง “วีระ” ลับฝีปาก
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า แม้ไม่มีการออกอากาศรายการของสำนักโฆษกรัฐบาลในวันที่ 21 ก.ค.นี้ แต่จะมีรายการ “ชาวสนามหลวง” มาแทนรายการ “ข่าวหน้า 4” ที่ออกอากาศอยู่เดิมในเวลา 22.00-23.00 น. ทางสถานีเอ็นบีที รายการใหม่นี้จะดำเนินรายการโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตแกนนำ นปก. แต่ยังเป็นรายการของผู้ผลิตเอกชนรายเดิมอยู่ เพียงแต่ได้เปลี่ยนชื่อรายการพร้อมกับปรับปรุง รูปแบบรายการใหม่ให้เป็นลักษณะวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง เพื่อเรียกเรตติ้งให้ดีขึ้น เท่าที่ทราบการออกอากาศคืนแรกในวันที่ 21 ก.ค.นี้ นายวีระจะเชิญตนและนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชนไปร่วมรายการด้วย ส่วนจะมีการเชิญบุคคลใดไปเป็นแขกรับเชิญของรายการบ้างขึ้นอยู่กับนายวีระ ยืนยันรายการใหม่นี้ไม่ได้เป็นรายการนอมินีที่มาแทนรายการของสำนักโฆษกฯ เป็นรายการของผู้ผลิตเอกชนรายเดิม
“อภิสิทธิ์” ติง “สมัคร” ใช้สื่อเอ็นบีที
ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายค้าน วันเดียวกัน ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีในช่วงเวลาสี่ทุ่มถึงห้าทุ่มเพื่อตอบโต้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเป็นสถานีของรัฐ แต่ไม่ใช่รัฐจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และเอ็นบีทีไม่ใช่สถานีที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตอบโต้กลุ่มพันธมิตรฯ หากทำอย่างนี้ก็ถือว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ รัฐบาลชุดนี้ชอบพูดเสมอว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีมาก หลักการใหญ่ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือ สถานีของรัฐไม่ใช่เครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาล
แขวะนายกฯจับหัวโจกล้มรัฐบาล
เมื่อถามว่าในรายการสนทนาประสาสมัครดูเหมือนว่านายกฯจะยอมรับชะตากรรมว่าอายุรัฐบาลกำลังนับถอยหลังมองอย่างไร นายอภิสิทธิ์ตอบว่า อยู่ที่ข้อเท็จจริงและควรปล่อยให้กระบวนการต่างๆ ทำงานอย่างอิสระโดยทุกคนต้องยอมรับกติกา
“ผมอยากย้ำว่านายกฯไม่ควรคิดว่าการที่ กกต.ส่งเรื่องรายการชิมไปบ่นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นการฆ่าท่าน อย่าคิดหวาดระแวงว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจ้องล้มรัฐบาล หรือเห็นทุกกระบวนการเป็นศัตรูไปหมด การที่นายกฯพูดถึงแผนการต่างๆ ในรายการผมไม่เคยคิดว่ามี แต่ถ้าหากนายกฯมีหลักฐานควรนำออกมาแสดงด้วยไม่ใช่พูดลอยๆ ถ้ามีหลักฐานจริงหรือมีการกระทำที่ส่อว่าผิดกฎหมายจริงก็ดำเนินการเพราะมีอำนาจในมืออยู่แล้ว” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ซัดมีพฤติกรรมสวนทางคำพูด
ต่อข้อข่าวถามว่า นายกฯมักโทษเสมอว่ากำลังมีการใช้สื่อปลุกระดมเพื่อโค่นล้มรัฐบาล แต่ตอนนี้มีการใช้สื่อของรัฐตอบโต้มองอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ได้ย้ำว่ารัฐบาลได้ประกาศนโยบายเรื่องสมานฉันท์ แต่ผู้นำรัฐบาลกลับไม่มีท่าทีสมานฉันท์เลย ส่วนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในจังหวัดต่างๆที่เริ่มมีการปะทะกันระหว่างประชาชนมากขึ้นนั้น นายอภิสิทธิ์ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายควรระมัดระวังหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การเผชิญหน้า อยากให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็หนักใจ เนื่องจากต้องระมัดระวัง ทางที่ดีที่สุดทุกฝ่ายอย่าไปสร้างความหนักใจ ใช้สิทธิเสรีภาพตามขอบเขต

โผปรับ ครม.“เด็กนาย”อยู่ถ้วนหน้า - “หมัก”จัดเองแค่ลมปาก

โดย ผู้จัดการออนไลน์
22 กรกฎาคม 2551 09:22 น.
แย้มโผปรับ ครม.“หมัก” คาด“วิกรม-ปานปรีย์”คนใกล้ชิดนายใหญ่มาแน่ ด้าน“เลี้ยบ”หลุดจากคลังไปพาณิชย์ โยก“มิ่ง”นั่งรองฯ ควบ รมต.สำนักนายกฯ “เหลิม-สมพงษ์”สลับเก้าอี้มหาดไทย-ยุติธรรม “สันติ”เด็กเส้นบ้านจันทร์ฯ เกาะคมนาคมแน่น เผยโควตากลุ่ม“พลังแม้ว”ยังคงเดิม “หมัก”จัดโผเองแค่ลมปาก ขณะหลายมุ้งเริ่มเขม่น “เนวิน”วางอำนาจ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(21ก.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกวาระงานในช่วงบ่าย ที่จะเดินทางไปถวายภัตตาหารเพล แด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่โรงพยาบาลจุฬา และสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดสระเกศ (สมเด็จเกี่ยว) ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชฯ วัดสระเกษ และได้ทำการหารือกับคนใกล้ชิดในการปรับ ครม.ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ขณะที่ในวันนี้เวลา 17.00 น.นายสมัครมีกำหนดการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทูลเกล้าถวายเงินรายได้ตามโครงการจัดทำเข็มที่ระลึกตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ณ ศาลาเริง วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รายงานข่าวจากพรรคพลังประชาชนแจ้งว่า สำหรับรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ตอนนี้ลงตัวแล้วระดับหนึ่ง เน้นการปรับรัฐมนตรีด้านการเมืองเป็นหลัก ส่วนด้านเศรษฐกิจนั้นปรับเล็กน้อย โดยข้อตกลงเบื้องต้นจะมีการปรับครม.ประมาณ 12-14 ตำแหน่ง โดยคนนอกที่จะเข้ามาร่วมงานมีประมาณ 2 คน คือ1.นายวิกรม คุ้มไพโรจน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนที่มีภรรยาเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะอยู่ที่ลอนดอน จะมาเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 2.นายปานปรีย์ มหิธานุกร ที่ปรึกษารองนายกฯ (น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ) จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 3.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ จะไปเป็นรองนายกฯ หรือรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีดูแลงานด้านสื่อสารมวลชน 4.ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยปัจจุบันจะไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 5.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ส่วนนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม ที่มีปัญหาเรื่อวุฒิการศึกษา และมีข่าวว่าจะถูกปรับออกนั้นจะยังคงเป็น รมว.คมนาคมต่อไป เพราะเป็นใบสั่งจากบ้านจันทร์ส่องหล้า รวมทั้งนายสันติเป็นคนใกล้ชิดนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล อดีต รมว.คมนาคม ซึ่งมีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน ชินวัตร ส่วนโควตากลุ่มต่างๆ ภายในพรรคนั้น ก็ยังคงเหมือนเดิม โดยแต่ละกลุ่มจะส่งตัวแทนมาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งจะตรงกันข้ามกับสิ่งนายสมัคร เคยประกาศไว้ว่าจะเป็นคนพิจารณาผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้รายชื่อเบื้องต้นของผู้ที่จะมารัฐมนตรีได้สรุปแล้ว แต่ยังไม่ลงว่าจะไปอยู่ในกระทรวงใด โดยในส่วนของภาคเหนือคือ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ ในส่วนของกลุ่มอีสานพัฒนาคือ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย หรือนายเจริญ จรรย์โกมล ส.ส.ชัยภูมิ ในส่วนของภาคกลางคือนายวิทยา บูรณะศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา และก่อนหน้านี้ยังมีชื่อของนายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี ร่วมอยู่ด้วยแต่ภายหลังชื่อนี้น่าจะตกไป ส่วนโควตาของกลุ่มอีสานใต้ เช่น นายสุพล ฟองงาม รมช.มหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม นายพงศกร อรรณพพร รมช.ศึกษาธิการ น่าจะถูกปรับออก ส่วนนายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรฯ จะถูกย้ายไปอยู่ในกระทรวงอื่น และตอนนี้กำลังพิจารณาบุคคลในพรรคอยู่ ทั้งนี้มีข่าวอีกว่า แม้กลุ่มต่างๆ พยายามจะต่อรอง เช่นกลุ่มอีสานใต้ ไม่ให้ปรับโควตาของกลุ่มแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะยังมีข้อมูลบางด้านในพรรคบอกว่านายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มอีสานใต้ พยายามอ้างตัวเองว่ามีอำนาจในการเสนอรายชื่อบุคคลเข้าเป็น ครม.ชุดใหม่ ทำให้หลายกลุ่มไม่พอใจ และส่งผู้ใหญ่ในพรรคไปคุยกับนายเนวินว่าอย่าทำแบบนั้น