วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ศาลสั่ง-พ้นทำเนียบ เลิก"ม็อบ" อนุมัติจับ9แกนนำ



ต้องยุติชุมนุมทันที ห้ามปิดราชดำเนิน ถ.พิษณุโลกด้วย! "โกวิท"ย้ำใช้พื้นที่ พระราชพิธี 30 สค. ตั้งข้อหาหนักกบฏ สนธิท้าจับในม็อบ
ศาลแพ่งไต่สวนฉุกเฉินก่อนสั่งม็อบพันธมิตรเลิกชุมนุม ให้ออกพ้นจากทำเนียบให้หมด พร้อมรื้อเวทีเปิดถนนพิษณุโลก-ราช ดำเนินชี้เหตุม็อบไม่ชุมนุมตามมาตรา 63 และให้มีผลทันที ส่วนศาลอาญาอนุมัติหมายจับแล้ว 9 แกนนำพันธมิตรข้อหากบฏ ตร.หอบหลักฐานภาพวีซีดีพร้อมสำนวนเสนอศาลพิจารณาแล้วหลักฐานชัดเจนเลยออกหมายจับรูด 5 แกนนำ"มหา-สนธิ-พิภพ-สมศักดิ์-สมเกียรติ" พร้อมผู้ประสานงานอีก 4 ราย ขณะที่ม็อบยังยึดทำเนียบ เกิดปะทะกับตชด.ที่พยายามเข้าไปสับเปลี่ยนกำลังหลายครั้งตั้งแต่เช้ามืดยันสายๆ เพราะกลัวว่าจะสลายการชุมนุม "โกวิท"แถลงวิงวอนม็อบสลายตัวออกจากทำเนียบเพราะจะมีพระราชพิธีใหญ่ 30 ส.ค.นี้ ตกเย็นม็อบตึงเครียดหนักเพราะลือทั้งวันตร.จะบุกสลาย 5 แกนนำประกาศไม่มอบตัว ให้ตร.เข้าไปจับในม็อบเอง มีโล่มนุษย์ล้อมรอบคุ้มกันแน่นหนา ก่อนตั้งแกนนำรุ่น 2 รับช่วงจัดม็อบชุมนุมต่อ ตร.สำรวจความเสียหายเอ็นบีทีอีกครั้งก่อนจัดกำลังคุมเข้ม เผยขัง 82 นักรบศรีวิชัยไว้คนละแดนกับ"ทนายแม้ว-ดา ตอร์ปิโด" ส.ส.พปช.เมาแล้วเดินเข้าไปป่วนม็อบที่ทำเนียบตอนเช้าเลยโดนฮือล้อมกรอบ

-ตร.ปะทะม็อบในทำเนียบหลังจากที่ม็อบพันธมิตรฯ เป่านกหวีดบุกยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง โดยเฉพาะกลุ่มนักรบศรีวิชัยกว่า 80 คน บุกยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีแล้วสั่งยุติการออกอากาศ ก่อนถูกตำรวจจับกุมได้พร้อมอาวุธปืนและมีด ส่วนม็อบใหญ่ได้บุกเข้าทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดย้ายไปปักหลักกันที่ทำเนียบรัฐบาลเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่นายสมัครประกาศให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายทุกราย และมอบหมายให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯและรมว.มหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้นความคืบหน้าเมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 27 ส.ค. บรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล ตชด.ประมาณ 4 กองร้อยกว่า 1,000 นาย พยายามบุกเข้ามาในทำเนียบรัฐบาล ทางประตู 4 ถนนพิษณุโลก บริเวณตรงข้ามสำนัก งานป.ป.ช. เพื่อสับเปลี่ยนกำลัง จนเกิดเหตุปะทะกันระหว่างการ์ดพันธมิตรฯ จนบาดเจ็บไปหลายสิบคนจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 4 กองร้อยพากันกรูเข้ามาตั้งแนวหน้ากระดาน ประมาณ 5 แถว ด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้าและตักสันติไมตรี ซึ่งอยู่ติดกับประตู 4 ส่งผลให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นไปอีก เนื่องจากด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้าที่อยู่ใกล้เคียงตึกสันติไมตรี พื้นที่ระหว่างทั้ง 2 ตึก เป็นทางเชื่อมทะลุไปด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งมีผู้ชุมนุมนับหมื่นคนปักหลักชุมนุมตลอดทั้งคืนอย่างแน่นหนา เมื่อสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก พันธมิตรฯ ได้นำแผงเหล็กตั้งแนวรั้วขวางกั้น ช่องทางที่สามารถทะลุมาด้านหน้าได้ โดยขออาสาสมัครพันธมิตรฯ ปราศจากอาวุธนั่งลงตั้งแนวกั้นหน้ากระดานเกือบ 10 แถว

-"มหา"ขึ้นเวทีประกาศชัยชนะจากนั้น พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รองผบช.น. เข้ามาเจรจากับนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงาน พันธมิตรฯ โดยพล.ต.ต.สุชาติชี้แจงผ่านโทรโข่งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เข้ามาเพื่อสลายการชุมนุมของให้พี่น้องประชาชนไว้ใจได้ แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลรักษาความปลอดภัยในทำเนียบทำงานมากว่า 24-30 ช.ม. แล้วจึงเข้ามาสลับสับเปลี่ยนกำลังตามปกติช่วงที่มีเหตุการณ์วุ่นวาย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขึ้นพูดบนรถขยายเสียงเรียกร้องให้ประชาชนอยู่ในความสงบ นั่งลง หากตำรวจจะมาสลายการชุมนุมขอให้พวกเรานั่งนิ่งๆ เช่นเดียวกับนายพิชิต ไชยมงคล อดีตเลขาธิการสนนท. และโฆษกบนเวทีพันธมิตรฯ เรียกร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมใจเย็นพร้อมทั้งชี้แจงขั้นตอนหากตำรวจจะสลายการชุมนุมต้องขอเจรจาก่อน เพราะเหตุการณ์ที่ตำรวจสลายการชุมนุมที่จ.สงขลา เมื่อปี 2545 นั้นมีคำพิพากษาออกมาแล้วให้ตำรวจจ่ายค่าเสียหายจากการสลายผู้ชุมนุมจนได้รับบาดเจ็บคนละ 1 หมื่นบาท จากนั้นบรรยากาศบนเวทีได้เปิดเพลงสลับกับการเล่นดนตรีผ่อนคลายแต่บรรยากาศยังตึงเครียด เนื่องจากพันธมิตรฯ เกรงว่าตำรวจอาจใช้มาตรการเด็ดขาดสลายการชุมนุม และเป็นที่น่าสังเกตว่าภายในตึกสันติไมตรี ที่เป็นตึกขนาดใหญ่ชั้นเดียว และมีประตูรายล้อมทั่วทั้งตึกกว่า 20 บานมีการดับไฟ กลุ่มคนข้างในดึงม่านกั้นประตูและหน้าต่างลง ทำให้อาสาสมัครพันธมิตรฯ จึงนำท่อนไม้ไปขัดที่เปิดประตูจากภายนอกของประตูที่ติดกันทั้ง 2 บาน ทำให้ไม่สามารถเปิดประตูจากข้างในออกมาได้ กระทั่งช่วง 6 โมงเช้า บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลง โดยพล.ต.จำลองขึ้นประกาศชัยชนะบนเวทีอีกครั้ง

-พันธมิตรตรึงรอบตึกไทยคู่ฟ้าเวลา 06.00 น. หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกประชิดจนสามารถยึดพื้นที่ฝั่งตึกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อาคารสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไว้ได้ทั้งหมด โดยกำลังส่วนหนึ่งแทรกซึมเข้าไปในตึกสันติไมตรี แต่ไม่สามารถออกทางประตูด้านหน้า เพราะถูกพันธมิตรฯ ได้ปิดกั้นไว้ ขณะที่ผู้ชุมนุมสามารถยึดพื้นที่รอบตึกไทยคู่ฟ้า ด้านหน้าตึกสันติไมตรี และตึกบัญชาการ 1 และ 2ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรยากาศการชุมนุมเริ่มลดความตึงเครียด หลังจากมั่นใจว่าตำรวจไม่สลายผู้ชุมนุม กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มปักหลักปรับพื้นที่เป็นสถานที่ชุมนุมถาวร และมีการกางเต็นท์ โดยมีผู้ชุมนุมบางส่วนทั้งจากพื้นที่กทม.และต่างจังหวัดทยอยกลับบ้าน ทำให้จำนวนผู้ชุมนุมบางตาอย่างเห็นได้ชัด เหลืออยู่เพียงประมาณ 2-3 พันคนเท่านั้น โดยกระจายกันอยู่ทั่วบริเวณ และส่วนใหญ่ต่างหาร่มไม้เพื่อนอนพักผ่อน มีบางส่วนเดินถ่ายภาพคู่กับตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อเป็นที่ระลึก ส่วนบริเวณถนนด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล และถนนพิษณุโลก มีประชาชนจำนวนไม่กี่ร้อยคนกระจายกันนั่งตามร่มไม้ส่วนเวทีเคลื่อนที่บนรถเครื่องกระจายเสียงของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนเข้าไปอยู่ภายในรั้วทำเนียบตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ยังคงมีการปราศรัยกระตุ้นให้ผู้ชุมนุมที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามารวมตัวกันอยู่ภายในรั้วทำเนียบ เนื่องจากเกรงว่าหากจำนวนคนมีน้อยรัฐบาลอาจเปลี่ยนใจเข้าสลายการชุมนุมทันที โดยประกาศว่าในเวลา 08.00 น. แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คนจะประชุมกัน ขอให้ประชาชนรอฟังข่าวดี

-"มหา"สั่งผนึกกำลังต้านตำรวจต่อมาเวลา 06.30 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นกล่าวบนเวทีเคลื่อนที่ว่า ได้พาประ ชาชนที่ชุมนุมอยู่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ มาสมทบที่ทำเนียบเพิ่มอีก 400 คน ขอให้ผู้ชุมนุมรวมตัวกันไว้อย่างเหนียวแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมเวลา 07.30 น. เจ้าหน้าที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เชิญชวนผู้ชุมนุมให้ตั้งแถว เพื่อใส่บาตรสมณะโพธิรักษ์พร้อมสาวกกว่า 50 คน ที่มาตั้งแถวเดินผ่านรับบาตร อย่างไรก็ตาม บริเวณหน้าประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ถนนพิษณุโลก ซึ่งมีรถเครื่องเสียงของกองทัพธรรมจอดอยู่ ปรากฏว่าถูกปล่อยลมยาง 2 ล้อ ถูกทุบไฟหน้าแตกและถูกกรีดรอบตัวรถ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นอย่างมากผู้สื่อข่าวรายงานว่า อาสาสมัครของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ตั้งแผงเหล็ก ตรึงแนวกั้นบริเวณประตู 7 ข้างตึกนารีสโมสรและตึกสันติไมตรี ไม่ให้ผู้ชุมนุมผ่าน เพื่อป้องกันการบุกเข้าสลายม็อบ ขณะที่กำลังตำรวจที่เข้ารักษาความสงบภายในทำเนียบประมาณ 500 คน ประกอบด้วยหน่วยอรินทราช ตำรวจปราบจลาจล ตำรวจตระเวนชายแดนจากจันทบุรี กาญจนบุรี และสระแก้ว และตำรวจนครบาล กระจายกำลังบีบให้ผู้ชุมนุมจำกัดวงอยู่ได้เพียงด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้าเท่านั้น ทั้งนี้ ตามจุดต่างๆ ผู้ชุมนุมได้ตั้งแนวประชิดกับตำรวจ แต่ยังไม่มีการปะทะกัน

-ส.ส.พปช.เมา-บุกป่วนม็อบผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น โดยเมื่อเวลา 07.15 น. พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ ส.ส. อุดรธานี พรรคพลังประชาชน กลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งมีอาการมึนเมา ได้เดินเข้ามายังทำเนียบรัฐบาล ผ่านทางประตูชมัยมรุเชฐ ที่กลุ่มพันธมิตรฯ เปิดให้ประชาชนเดินผ่านเข้าออก โดยพ.ต.ท.สุรทิน ได้เดินเข้ามายังกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณหน้ารถปราศรัยหน้าทำเนียบ ซึ่งช่วงนั้น น.ส.อัญชลี ไพรีรักษ์ กำลังปราศรัยอยู่บนเวที เมื่อทีมงานของพันธมิตรฯ เห็นและจำหน้าได้ จึงเรียกให้การ์ดพันธมิตรฯ มาคุมตัวออกไป ระหว่างนั้น เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมทราบว่าเป็นส.ส.พรรคพลังประชาชน จึงวิ่งกรูเข้าล้อมเพื่อเข้าไปทำร้ายร่างกาย ทั้งสาดน้ำเข้าใส่ เอาไม้พองตีเข้าที่ศีรษะ และตะโกนด่า "ไอ้ขายชาติ มาที่นี่เพื่ออยากทำตัวดัง จะได้ไปรับเงิน ไอ้พวกเห็นแก่เงิน" ทำให้การ์ดพันธมิตรฯ ต้องกันผู้ชุมนุม พร้อมห้ามปรามไม่ให้ใช้ความรุนแรง แล้วรีบนำตัวพ.ต.ท.สุรทิน ฝ่ากลุ่มผู้ชุมนุม ออกไปด้านนอกทำเนียบทางประตูอรทัย อย่างทุลักทุเล ขณะที่ พ.ต.ท.สุรทิน มีสีหน้าไม่สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งโบกมือ และยิ้มให้กับผู้ชุมนุมจากนั้น กลุ่มพันธมิตรฯ ได้นำตัวพ.ต.ท.สุรทิน ออกไปบริเวณถนนนครสวรรค์ เพื่อส่งขึ้นรถแท็กซี่หน้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แต่เนื่องจากมีประชาชนยืนรุมล้อมจำนวนมากจึงไม่มีรถคันใดจอดรับ ขณะเดียวกันมีเจ้าหน้าที่ตำรวจผ่านมา การ์ดพันธมิตรฯ จึงส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยพ.ต.ท.สุรทิน ให้สัมภาษณ์ด้วยอาการมึนเมา พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องว่า เข้ามาทางประตูชมัยมรุเชฐ เพื่อมาประชุมวิปรัฐบาล เมื่อถามว่าไม่ทราบหรือว่ากลุ่มพันธ มิตรฯ ชุมนุมอยู่ด้านใน พ.ต.ท.สุรทิน กล่าวว่า ไม่ทราบ เมื่อมาแล้วก็เลยอยากเข้ามา

-ประกาศแต่งตั้งแกนนำม็อบรุ่น 2ต่อมาเวลา 08.45 น. ที่บริเวณตึกนารีสโมสร ได้เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและชุดรักษาความปลอดภัย ได้สับเปลี่ยนกำลังรักษา ความปลอดภัยที่ออกเวร ซึ่งแต่งเครื่องแบบพร้อมปฏิบัติการ ได้หยิบอุปกรณ์ปราบจลาจล เพื่อให้เวรต่อไปได้เข้ามาประจำการ บริเวณประตู 7 ด้านข้างตึกนารีสโมสร ทำให้ชุดรักษาความปลอดภัยของพันธ มิตรฯ เข้าใจผิดคิดว่าจะเข้ามาสลายการชุมนุม จึงใช้โทรโข่งเรียกกลุ่มชายฉกรรจ์ของพันธมิตรฯ ให้ไปเสริมกำลังป้องกันบริเวณแนวรั้วด้านข้างตึกนารีสโมสร ทำให้ผู้ชุมนุมบริเวณหน้าเวทีแตกฮือ วิ่งตามกันไป แต่เมื่อฝ่ายรักษาความปลอดภัยของพันธมิตรฯ ทราบว่าเป็นการสับเปลี่ยนกำลังพล จึงต้องวิ่งมาระงับเหตุดังกล่าวก่อนหน้านี้ แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน ได้มีการประชุมด่วน เพื่อกำหนดท่าทีหลังมีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ จนกระทั่งเวลา 09.30 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขึ้นเวทีปราศรัยว่า ขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมยืนหยัดปักหลักชุมนุมต่อไป โดยไม่ต้องวิตกกังวล แม้แกนนำทั้ง 5 คนจะถูกออกหมายจับ แต่ขอให้พันธมิตรฯ ทำงานต่อไป สู้ต่อไป ทั้งนี้แกนนำได้หารือกันว่าจะแต่งตั้งบุคคลขึ้นมาเป็นแกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลที่เคยขึ้นเวทีปราศรัย เป็นที่นับถือและประชาชนรู้จัก เบื้องต้นมีด้วยกัน 3 คน ประกอบด้วย นายสาวิต แก้วหวาน เลขาสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจ นายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย นายสำราญ รอดเพชร อดีตสนช.

-ร้องให้ทำเนียบเปิดห้องน้ำพล.ต.จำลองกล่าวว่า ยืนยันว่าไม่กลัวตำรวจจะเข้ามาจับกุมตัว หากจะมาจับกุมก็เข้ามาได้เลย ตนขอท้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไม่ว่าจะมาจับอย่างไร กลุ่มพันธมิตรฯ จะมีตัวตายตัวแทนขึ้นมาเป็นแกนนำ ดังนั้นขอให้ผู้ชุมนุมปักหลักสู้ต่อไป หากใครมาชวนหรือโทร.มาตามให้กลับบ้าน อย่าไปฟัง อย่ากลับ นอกจากนี้ตนขอให้ทางเจ้าหน้าที่ทำเนียบช่วยเปิดห้องน้ำ บริเวณตึกต่างๆภายในทำเนียบ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ หากไม่ดำเนินการเราจะใช้วิธีแบบชาวป่า เพื่อบำรุงต้นไม้ในทำเนียบ ส่วนที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ระบุจะไม่ให้คนนอกเข้ามาส่งข้าวส่งน้ำนั้น ยืนยันว่าขณะนี้ประชาชนชาวกทม.ยังคงนำอาหารและน้ำมาให้พวกเราอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้ไม่มีปัญหา

-วุ่นวายอีก-ม็อบปะทะกำลังตชด.เวลาไล่เลี่ยกัน กลุ่มพันธมิตรฯ จากจุดชุมนุมที่บริเวณสะพานมัฆวานฯ ประมาณ 200 คนเคลื่อนขบวนไปตามถนนพิษณุโลก เพื่อไปสมทบกลุ่มที่ชุมนุมอยู่บริเวณทำเนียบรัฐบาล แต่เมื่อขบวนไปถึงบริเวณถนนลิขิต ข้างสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พบกำลังตชด. เดินแถวออกจากประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อสับเปลี่ยนกำลังพลกับกองกำลังผสมตำรวจนครบาล จำนวน 1 กองร้อย แต่กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าใจผิดคิดว่าจะมาสกัดไม่ให้เข้าไปสมทบกลุ่มผู้ชุมนุมภายในทำเนียบรัฐบาล จึงตะโกนไล่และมีบางส่วนตรงเข้าทำร้ายร่างกาย โดยที่ตำรวจทำเพียงแค่ยกโล่ขึ้นป้องกันตัวเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม กระทั่งผู้นำขบวนกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าห้ามปราม และสอบถามกลุ่ม ตชด. เมื่อทราบว่ากำลังถอนกำลังเพื่อให้ตำรวจชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่แทน กลุ่มผู้ชุมนุมจึงยอมปล่อยให้ กองร้อย ตชด.ออกไปขณะเดียวกัน พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผบช.น. นำกำลังกองกำลังผสมตำรวจท้องที่ในสังกัดบชน. จำนวน 6 กองร้อยเข้าสับเปลี่ยนกำลัง เมื่อขบวนผ่านไปเพียง 4 กองร้อย กลุ่มผู้ชุมนุมเห็นว่าจำนวนตำรวจที่เข้าทำเนียบรัฐบาลมีมากกว่าตำรวจที่ออกไป จึงไม่พอใจกรูกันเข้าผลักดันตำรวจส่วนที่เหลืออีก 2 กองร้อย ให้กลับเข้าไปอยู่ในถนนลิขิต จากนั้นนำแผงเหล็กและรั้วลวดหนามมากั้นไว้ ก่อนพากันนั่งลงกับพื้นเพื่อปิดทางไม่ให้ตำรวจเข้าออก พร้อมเรียกกำลังมาเสริมเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมาก

-ไม่พอใจ"สมศักดิ์"อ่อนข้อให้ตร.พล.ต.ต.สุพร เข้าอธิบายกันผู้นำกลุ่มว่า จำนวนตำรวจที่เข้าเปลี่ยนกำลังเท่ากับตำรวจที่เปลี่ยนออกไป คือ จำนวน 6 กองร้อย แต่กำลังตำรวจที่อยู่ภายในทำเนียบรัฐบาลทยอยกันออกตั้งแต่เวลา 08.00 น. และกำลัง ตชด. 1 กองร้อยที่เพิ่งออกไปเป็นกำลังชุดสุดท้ายในทำเนียบรัฐบาล จึงต้องขอให้นำกำลังส่วนที่เหลืออีก 2 กองร้อยเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อปฏิบัติหน้าที่ คุ้มครองประชาชนที่เข้าชุมนุม และรักษาทรัพย์สินของราชการ เมื่อฟังคำพูดของพล.ต.ต.สุพร กลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดแสดงความไม่พอใจพากันตะโกนโห่ร้องเสียงดัง จนผู้นำกลุ่มต้องโทรศัพท์หาแกนนำพันธมิตรฯ เพราะตัดสินใจไม่ได้ว่า จะให้ตำรวจผ่านไปหรือไม่จากนั้น นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำเข้าพบพล.ต.ต.สุพร เพื่อขอทราบข้อเท็จจริง และสอบถามว่าตำรวจที่เข้าประจำการใหม่มีอาวุธหนัก เช่น แก๊ส น้ำตาหรือไม่ เมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมด นายสมศักดิ์จึงบอกต่อผู้ชุมนุมทั้งหมดว่า เรื่องนี้ได้หารือกันใน 5 แกนนำแล้ว และตำรวจชุดที่จะเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เป็นคนละชุดกับที่บุกเข้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อคืนที่ผ่านมา และมีการตรวจนับจำนวนตำรวจที่สับเปลี่ยนกำลังทั้งหมดว่ามีจำนวนเท่ากัน พร้อมบอกให้ทั้งหมดเปิดทางให้ตำรวจเข้าปฏิบัติหน้าที่ตามปกติผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสมศักดิ์เดินนำตำรวจไปยังประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ผู้ชุมนุมบางคนแสดงความไม่พอใจตะโกนต่อว่านายสมศักดิ์ ว่าไม่ควรให้ตำรวจเพิ่มกำลังพลเข้าไปในทำเนียบ นายสมศักดิ์ตอบว่า ทุกอย่างผ่านการประชุมของแกนนำแล้ว ขอให้เชื่อฟังในผู้นำ ผู้ชุมนุมเหล่านั้นยังแสดงความไม่พอใจอยู่ แต่ไม่พูดอะไรอีก ยอมเปิดทางให้ในที่สุด

-ท้าให้มาจับ-ไม่มอบตัวเด็ดขาดจากนั้นนายสมศักดิ์ขึ้นปราศรัยบนเวทีเคลื่อนที่บริเวณด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า การที่นายสมัครยื่นคำขาดให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกนอกบริเวณทำเนียบรัฐบาล กลุ่มพันมิตรฯ ไม่ขอรับฟังอะไรทั้งสิ้น เพราะทุกคำสั่งของรัฐบาลเป็นโมฆะ เพราะสิ้นความชอบธรรมแล้ว จะไม่ออกจากทำเนียบรัฐบาลจนกว่าจะไล่รัฐบาลชุดนี้ออกเป็นผลสำเร็จแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวด้วยว่า ส่วนการขอออกหมายจับ 5 แกนนำนั้น ตำรวจสามารถเข้าจับกุมแกนนำทั้งหมดได้ เพราะจะอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมตลอดเวลา ตำรวจต้องหาวิธีการเข้ามาจับกุมเอง แต่จะไม่ยอมไปมอบตัวเด็ดขาด และแกนนำพันธมิตรฯ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ประชาชนมาเป็นเกราะกำบัง แต่หากประชาชนเห็นว่า 5 แกนนำ ทำความดีแล้วจะออกมาปกป้องไม่ใช่เรื่องที่ผิด หากเกิดความรุนแรงจนต้องเสียเลือดเนื้อตำรวจต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ

-สั่งห้ามตร.เข้าตึกไทยคู่ฟ้าเวลา 10.15 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นบริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า ระหว่างที่มีเจ้าหน้าที่นำข้าวกล่องจำนวนหนึ่งมาส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลที่รักษาความปลอดภัยภายในตึกไทยคู่ฟ้า ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุมกว่า 50 คนเห็นว่าภายในตึกไทยคู่ฟ้ามีกลุ่มชายฉกรรจ์สวมเสื้อเหลืองอยู่ภายใน จึงตะโกนเรียกให้ออกมาแสดงตน เพราะเกรงจะมีบุคคลภาย นอกเข้ามาสร้างสถานการณ์ โดยผู้ชุมนุมพยายามจะขึ้นบันไดด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า แต่ถูกกันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวจึงเปิดหน้าต่างออกมาเจรจาโดยยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอาคาร แต่กลุ่มพันธมิตรฯไม่เชื่อเพราะไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจ กลุ่มชายฉกรรจ์จึงแสดงบัตรข้าราชการว่า เป็นตำรวจสันติบาล 3 จากกองกำกับการตำรวจสันติบาล ซึ่งมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากนั้นกลุ่มพันธมิตรฯได้จับตัวเจ้าหน้าที่ที่มาส่งข้าวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมายังด้านหลังเวทีเคลื่อนที่ บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า สอบสวนข้อเท็จจริง ก่อนที่การ์ดพันธมิตรฯจะพาตัวชายส่งข้าวดังกล่าวออกไปส่งที่บริเวณหัวถนนสะพานชมัยมรุเชฐ เพื่อให้เดินออกจากทำเนียบอย่างปลอดภัย ขณะที่ผู้ดำเนินรายการบนเวที ประกาศว่า พันธมิตรฯจะติดตามความเคลื่อน ไหวของกลุ่มบุคคลภายในตึกไทยคู่ฟ้า โดยอนุญาตให้ส่งข่าวส่งน้ำได้ เพราะถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่รักษาความปลอดภัยภายในตึก แต่จะไม่อนุญาตให้บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปในตึกไทยคู่ฟ้าอีก เพราะเกรงจะเป็นอันตราย หรือมีมือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์

-ตรวจค้นดะ-ระแวงมีสายตร.ต่อมาเวลา 11.30 น. กลุ่มพันธมิตรฯจึงส่งการ์ดจำนวน 5 คน เดินขึ้นไปบันไดขั้น 2 ด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อตั้งจุดสกัดบริเวณประตูด้านหลัง เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล เดินเข้า-ออกจากตึกได้สะดวก นอกจากนี้ยังปิดกลั้นบริเวณด้านหลังของหลังตึกไทยฯ เพื่อไม่ให้ประชาชนเดินเข้าไปด้านหลังได้ ทั้งนี้ กลุ่มพันธมิตรฯได้ประเมินว่าภายในตึกไทยคู่ฟ้าน่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ไม่ต่ำกว่า 100 นาย และเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์อันตรายหากเกิดเหตุชุลมุน โดยกลุ่มคนดังกล่าวพร้อมจะออกจากตึกทันทีผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน การ์ดของพันธมิตรฯได้นำตัวนายสุรเชษฐ สมตัว ชาวนคร พนม ที่นั่งพิงประตูหลังตึกไทยคู่ฟ้าอยู่ในขณะที่มีการส่งข้าว และมีท่าทางพิรุธ มายังบริเวณหน้าเวทีปราศรัย พร้อมทั้งตรวจค้นทั่วตัวและกระเป๋าเป้ เนื่องจากสงสัยว่าเป็นสายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ โดยการ์ดพันธมิตรฯได้นำเบอร์โทรศัพท์ที่นายสุรเชษฐ อ้างว่าเป็นหัวหน้ามาโทร.สอบถามพบว่าเป็นกลุ่มพันธมิตรฯจากอุบลฯจริง จึงปล่อยตัวไป ทั้งนี้ นายสุรเชษฐ กล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า ตนไม่ใช่สายตำรวจ แต่เป็นกลุ่มพันธมิตรฯอุบลราชธานีที่คอยประ สานงานเรื่องเทคนิคด้านไฟฟ้าของเวที แต่เนื่องจากอ่อนเพลีย จึงไปนั่งพักเหนื่อยบริเวณหลังตึกไทยฯ ก่อนจะถูกควบคุมตัวมา ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทำอะไรผิด ขนาดเป็นกลุ่มพันธมิตรฯด้วยกันยังโดนอย่างนี้ หากเป็นคนอื่นจะเกิดอะไรขึ้นผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเดียวกันที่เชิงสะพานอรทัย การ์ดพันธมิตรฯยังควบคุมตัวผู้ชุมนุมซึ่งเป็นชายสูงอายุคนหนึ่ง มาถอดเสื้อเพื่อตรวจค้นสิ่งต้องสงสัย เนื่องจากชายดังกล่าวไปเดินเล่นบนตึกบัญชาการ แต่ไม่พบวัตถุต้องสงสัย จึงปล่อยตัวไป โดยสร้างความไม่พอใจให้กับชายสูงอายุดังกล่าวมาก
-ร้องศาลแพ่งสั่งม็อบพ้นทำเนียบก่อนหน้านี้ เวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการกอง ทัพไทย นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภาวปอ. และยังคงหลบสื่อมวลชนลงชั้นใต้ดินเพื่อขึ้นลิฟต์ไปห้องประชุมบนตึกทันที อย่างไรก็ตาม มาตรการรักษาความปลอดภัยที่กองบัญชาการกองทัพไทยในวันนี้ ได้เข้มงวดมากขึ้นโดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปภายในอาคารของกองบัญชาการฯ ทุกคนต้องแลกบัตรและติดปลอกแขนสีเหลือง อยู่ได้เฉพาะด้านนอกอาคารเท่านั้นนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า วันเดียวกัน ตัวแทนจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี(สลน.)จะไปร้องต่อศาลแพ่งเพื่อให้พิจารณาฉุกเฉินให้กลุ่มพันธมิตรฯยุติการชุมนุมและออกจากทำเนียบรัฐบาล เพราะถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในขณะนี้ด้านนายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกฯฝ่ายข้าราชการประจำ เปิดเผยว่า เวลา 13.00 น.วันนี้ เจ้าหน้าที่ของสลน.จะเดินทางไปร้องต่อศาลแพ่งในฐานะเจ้าของสถานที่ที่ดูแลทำเนียบฯเพื่อให้ศาลแพ่งพิจารณากรณีกลุ่มพันธมิตรฯได้เข้ามาชุมนุมภายในทำเนียบฯซึ่งเป็นสถานที่ราชการ ส่วนศาลจะพิจารณาอย่างไรก็แล้วแต่ศาล

-แบบเดียวกับกรณีร.ร.ราชวินิตต่อมาเวลา 10.40 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลจะทำพร้อมกันหลายด้าน ในบริเวณทำเนียบฯจะจัดกำลังตำรวจเพิ่มเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในทุกรูปแบบ ทั้งการเคลื่อนตัวของกลุ่มผู้ชุมนุมหรือการเข้าไปเจรจาผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกจากทำเนียบฯ ส่วนมาตรการด้านกฎหมายมีการขออนุมัติออกหมายจับแกนนำ และเวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของสลน. จะไปยื่นร้องต่อศาลแพ่งกรณีเทียบเคียงเดียวกับเหตุการณ์ที่ร.ร.ราชวินิตมัธยม เพื่อให้กลุ่มพันธมิตรฯยุติการชุมนุมพร้อมรื้อถอนเวทีจากทำเนียบฯเมื่อถามว่า มีการประเมินหรือไม่ว่าการชุมนุมจะใช้เวลายาวนานแค่ไหน นายณัฐวุฒิกล่าวว่า รัฐบาลมองว่าความรุนแรงหรือการกระทำที่เกินกว่าเหตุเลยเถิดมามากแล้ว ตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. มาตรการทางกฎหมายจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพราะเชื่อมั่นว่าประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจสถานการณ์และการปฏิบัติของรัฐบาล ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้วางเฉย จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดแน่นอน แต่ทุกอย่างจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และบ่ายวันเดียวกันนี้ น่าจะมีความชัดเจนเรื่องการออกหมายจับและการดำเนินการต่างๆ ของตำรวจ-ยัน"หมัก"ไม่ใช้พรก.ฉุกเฉินเมื่อถามว่านายกฯขีดเส้นตายว่าเวลา 18.00 น.ของวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ม็อบต้องออกนอกทำเนียบฯ มีปัญหาอะไรถึงยังปล่อยให้ยืดเยื้อ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นปัญหาเดิมคือกลุ่มผู้ชุมนุมปฏิเสธการเจรจาจากรัฐบาลทุกกรณี ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งออกจากการบริหารบ้านเมือง ซึ่งนายกฯพูดมาตลอดว่ายังมีความชอบธรรม มีความมั่นใจและมีคุณภาพเพียงพอในการบริหารบ้านเมือง และมีความไว้วางใจจากประชาชน การทำอะไรผิดกฎหมายต้องดำเนินการอย่างแน่นอน ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ขอให้ประชาชนสบายใจว่าใครละเมิดกฎหมายต้องได้รับโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนตัวคิดว่าจะจัดการทุกอย่างได้ไม่เกินวันนี้ ซึ่งพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ได้ขอเวลา 24 ชั่วโมง เมื่อผ่านเวลาที่กำหนดแล้วจะประเมินสถานการณ์ แต่จนถึงขณะนี้เห็นว่าการดำเนินการของพล.ต.อ.โกวิทก็มีความคืบหน้าไปในหลายด้าน เมื่อออกหมายจับแล้วจะมีการดำเนินการต่อได้ทันที เชื่อว่าถ้ามีการจับตัวแกนนำได้ การชุมนุมจะไม่รุนแรงเพราะทุกฝ่ายต้องยอมรับกติกา นายณัฐวุฒิ กล่าวว่าขอเรียกร้องกลุ่มพันธมิตรฯ หากมีการออกหมายจับจริง ขอให้ปฏิบัติตามคำพูดที่ประกาศไว้ว่าจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ว่าจะไปมอบตัว อย่าใช้มวลชนและประชาชนที่ร่วมชุมนุมมาเป็นตัวประกันกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อไม่ให้ตัวเองเข้าสู่กระบวนการของกฎหมาย เมื่อกล้าพูด กล้าทำต้องกล้ารับผิดชอบ เมื่อถามว่าหากจัดการไม่ได้จะใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุก เฉินหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นายกฯมั่นใจว่าตำรวจจะควบคุมสถานการณ์และดำเนินการตามนโยบายได้ คือจะไม่ใช้ความรุนแรงหรือกำลังเข้าไปทุบตีทำร้าย-มี 2 ทหารเก่าอยู่เบื้องหลังจริงนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ส่วนการจัดงาน 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อในวันที่ 30 ส.ค.นั้น นายกฯได้ย้ำและยืนยันกับครม.ว่าหมายกำหนดการในวันดังกล่าวยังมีอยู่ตามปกติ โดยให้ทุกฝ่ายเตรียมงานทุกอย่างตามปกติ จะไม่มีการยกเลิกแน่นอน เมื่อถามถึงกรณีที่ได้ออกมาเปิดเผยว่ามีพล.อ.กับนายทหารนอกราชการโดยมีการเอ่ยชื่อ "พัลลภกับประสงค์" อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหว บอกได้หรือไม่ว่านามสกุลอะไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า "ประสงค์ก็คือประสงค์ไม่ออกนาม ส่วนพัลลภ ต้องไปถามประสงค์เอง" แต่ยอมรับว่ามีข่าวยืนยันว่ามีนายทหารและอดีตนายทหาร 2 คนเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ และ พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงและวุ่นวาย เป็นรายงานข่าวที่ได้รับมา ส่วนใหญ่เป็นจริงมาหลายเรื่อง ซึ่งต้องติดตาม แต่ไม่ว่าจะเป็นใครหากมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องหรือใครรู้ตัวว่าเป็นบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ควรจะยุติความคิดในการดำเนินการ หากไม่จริงถือว่าไม่ได้เข้าร่วมสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมือง แต่ถ้าจริงและมีหลักฐานพบว่ามีการดำเนินการถือเป็นการก่อการกบฏในราชอาณาจักร หลีกหนีข้อหานี้ไม่พ้น

-30 ส.ค.รับเสด็จฯในทำเนียบวันเดียวกัน ที่บช.น. พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยนายธีรพล นพรัมภา เลขาธิการนายกฯ มีหนังสือถึงผบ.ตร.แจ้งหมายกำหนดการเสด็จฯ พระราชทานธงสัญลักษณ์โครงการ จากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระราชทานธงสัญลักษณ์โครงการฯ ในวันเสาร์ที่ 30 ส.ค. เวลา 15.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ในการนี้นายกฯ ได้แจ้ง ผบ.ตร.เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานธง โครงการฯ และให้ร่วมกิจกรรมเดินวิ่งเฉลิมพระ เกียรติสร้างสามัคคีทั่วประเทศ บริเวณพระราชวังดุสิต รัฐบาลจำเป็นต้องใช้พื้นที่ทำเนียบฯจัดงาน จะต้องเตรียมการเสด็จพระราชดำเนิน ฝากเรียนให้ประชาชนที่มาร่วมชุมนุมทราบว่ารัฐบาลได้เตรียมงานนี้มานานล่วงหน้าแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมประสงค์จะชุมนุมต่อก็ขยับขยายไปที่เดิม ตำรวจยินดีให้ความร่วมมือเพื่อร่วมกันดำเนินกิจกรรม
-ขออนุมัติหมายจับ 9 แกนนำพล.ต.ต.สุรพล กล่าวถึงการออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯว่า ทราบว่าศาลรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว จะมีผลออกมาอย่างไรรอฟังอยู่ เชื่อว่าวันนี้น่าจะมีความคืบหน้า โดยขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับมีแกนนำทั้ง 5 คน ผู้ประสาน 1 คน และมีคนอื่นอีก 3 คน รวมแล้ว 9 คน ซึ่งทราบว่ากลุ่มแกนนำแสดงท่าทีว่าจะเข้ามอบตัวถ้าศาลอนุมัติหมายจับตามที่ตำรวจร้องขอไป ใช้บช.น.เป็นสถานที่มอบตัวได้ ไม่น่าจะมีปัญหาแต่การให้ประกันตัวหรือไม่ ต้องมาคุยกันอีกที ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาลจะใช้สิทธิ์เป็นโจทก์ขอความคุ้มครองชั่วคราวที่จะให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกไปจากทำเนียบฯ เหมือนกรณีของรร.ราชวินิตนั้น เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายแพ่งผู้สื่อข่าวรายงานว่า บช.น.ได้ประเมินความเคลื่อน ไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯเป็นระยะ หลังจากตำรวจส่งกำลังตำรวจ ปจ. 6 กองร้อย เข้าไปยึดพื้นที่ในทำเนียบฯ และรอฟังผลการขออนุมัติศาลออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯและผู้ประสาน โดยทราบว่าหากศาลอนุมัติหมายจับ ทางแกนนำจะชิงเข้ามอบตัวตำรวจทันที เพื่อผลด้านการประกันตัว ถ้าในชั้นพนักงานสอบสวนแม้ตำรวจจะไม่ให้ประกันก็จะไปยื้อประกันในชั้นศาลต่อไปทันที-ขัง 82 นักรบศรีวิชัยในเรือนจำนายนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหา นคร และผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง ว่า การควบคุมตัวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 82 ราย ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีบุกรุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ภายหลังรับตัวผู้ต้องหาจากศาลอาญา เจ้าหน้าที่ได้จัดหาอาหารเย็นให้รับประทาน โดยผู้ต้องหาทุกรายรับประทานอาหารของเรือนจำและอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย เนื่องจากอ่อน เพลียจากการถูกควบคุมตัวไว้สอบสวนตลอดทั้งวัน ส่วนผู้ต้องหาชายได้ถูกส่งเข้าควบคุมตัวในแดนแรกรับ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้กันผู้ต้องหาใหม่ในกลุ่มพันธมิตรฯไม่ให้มีโอกาสพบปะกับนายพิชิฏ ชื่นบาน อดีตหัว หน้าทีมทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องกระจายผู้ต้องหาให้แยกย้ายไปนอนตามเรือนนอนต่างๆ เพราะไม่สามารถขังรวมผู้ต้องหากลุ่มพันธมิตรฯทั้งหมดไว้ในห้องนอนเดียวกันได้ สำหรับผู้ต้องหาหญิงที่ถูกส่งตัวเข้าทัณฑสถานหญิงกลาง เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวเข้าแดนแรกรับ และได้กันตัวไม่ให้พบปะกับน.ส.ดารณี ศิลปชาญกุล หรือดา ตอร์ปิโด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งระหว่างผู้ต้องขัง

-ส่ง 3 เยาวชนเข้าบ้านเมตตาอธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ เรือนจำจะปฏิบัติต่อผู้ต้องหากลุ่มพันธมิตรฯเช่นเดียวกับผู้ต้องขังคดีทั่วไป โดยเจ้าหน้าที่จะสอบประวัติ ตรวจร่างกาย หลังจากคุมขังครบ 1 สัปดาห์ หากผู้ต้องหาไม่ได้รับการประกันตัว เจ้าหน้าที่จะตัดผมสั้นให้กับผู้ต้องขัง ซึ่งถือเป็นระเบียบปกติของเรือนจำด้านนายธวัชชัย ไทยเขียว รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กล่าวว่า สถานแรกรับเยาวชนชายบ้านเมตตา ได้ควบคุมตัวเยาวชน 3 ราย อายุ 15, 16, 17 ปีตามลำดับ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีบุกรุกสถานีเอ็นบีที โดยเจ้าหน้าที่จะสอบปากคำเยาวชนเหมือนผู้ต้องหาคดีทั่วไป และจะให้ความคุ้มครองตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กและเยาวชน เบื้องต้นพบว่าเยาวชนอายุ 15 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในจ.ชุมพร เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องสอบสวนว่าเหตุใดเด็กจึงไม่เรียนหนังสือ และผู้ปกครองดูแลอย่างไรจึงให้เข้าร่วมการก่อเหตุในคดีอาญาเช่นนี้ หากพบว่าเยาวชนหนีออกจากบ้านเพื่อร่วมชุมนุม จะเรียกผู้ปกครองมาสอบถาม หากผู้ปกครองมีศักยภาพดูแลเยาวชนไม่ให้ออกมากระทำความผิดซ้ำอาจให้ประกันตัวชั่วคราว อย่างไรก็ตาม หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าเยาวชนมาร่วมชุมนุมพร้อมกับผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่จะพิจารณาถึงความเหมาะสมในการให้ประกันตัวอีกครั้ง

-สั่งจับ 9 แกนนำโดนข้อหากบฏก่อนหน้านี้ เวลา 08.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.ท.มานะ เผาะช่วย พนักงานสอบ สวนสน.สุทธิสาร พร้อมคณะ เดินทางมายื่นคำร้องขออนุมัติออกหมายจับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล, พล.ต. จำลอง ศรีเมือง, นายพิภพ ธงไชย, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ, นายอมร อมรรัตนานนท์, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายเทิดภูมิ ใจดี แนวร่วมพันธมิตรฯ ผู้ต้องหาที่ 1-9 ในความผิดฐานใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, สะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการ หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี มาตรา 114, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกแล้วไม่เลิก ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 215 และ 216-ปลุกระดมสร้างความวุ่นวายต่อมาเวลา 10.30 น. ศาลโดยนายณรัช อิ่มศรีสุข เลขานุการศาลอาญา และนายสุรจิตร ศรีบุญมา องค์คณะผู้พิพากษา เรียกพนักงานสอบสวนเข้าไต่สวน ที่ห้องพิจารณา 714 โดย พ.ต.ท.มานะ เบิกความสรุปว่า ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.2551 ผู้ต้องหาทั้ง 9 ร่วมกันปลุกระดมประชาชนผ่านสื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และอินเตอร์เน็ตให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาล โดยกล่าวโจมตีรัฐบาลและบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นเหตุให้ประชาชนซึ่งอาจไม่รู้ข้อเท็จจริงเข้ามาร่วมชุมนุมกับผู้ต้องหาทั้ง 9 ต่อมาก่อนวันที่ 26 ส.ค.2551 กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 9 ร่วมกันประกาศต่อกลุ่มผู้ชุมนุมว่า วันที่ 26 ส.ค.จะบุกยึดทำเนียบรัฐบาลโดยประกาศเป็นสงครามเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย จึงเล็งเห็นได้ว่าจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง แล้วเมื่อวันที่ 26 ส.ค. ตั้งแต่เวลา 07.00 น. กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 9 แบ่งกลุ่มชุมนุมเป็นกลุ่มย่อย เรียกว่าดาวกระจายบุกยึดสถานที่ราช การหลายแห่ง อาทิ ทำเนียบรัฐบาล โดยฝ่าผ่านรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลหลายพันคน เพื่อขัดขวางไม่ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้เข้าประชุมที่ทำเนียบในเวลา 09.00 น. ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 9 ทำการล้มล้างอำนาจบริหารประเทศของรัฐบาล นอก จากนี้กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 9 ยังบุกยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ถ.วิภาวดีฯ แขวงและเขตดินแดง กทม. บังคับข่ม ขืนใจให้พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าระงับเหตุจับกุมผู้กระทำการได้ 85 คน พร้อมของกลาง หลายรายการ อาทิ อาวุธปืน และมีดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย-ส่งหลักฐานภาพถ่ายวีซีดีขณะเดียวกันกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 9 ยังเข้าไปในกระทรวงการคลัง โดยมีนายสุริยะใส กตะศิลา เป็นผู้นำ ซึ่งมีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยเมื่อนายสุริยะใส เข้าไปในกระทรวงการคลังแล้วได้ประกาศว่าจะยึดพื้นที่เป็นเวลา 3 วัน นอกจากนี้กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 9 ยังเข้าไปในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งที่บช.น. กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 9 ได้ผลักประตูเข้า

-ออกแล้วกรูเข้าไปกดดัน พนักงานสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งอยู่ที่รถยนต์โมบาย จนในที่สุดพนักงานจำยอมขับรถยนต์โมบายออกไป และถูกกลุ่มผู้ชุมนุมรั้งหน่วงรถโมบายไว้ที่บริเวณลานพระราชวังดุสิตกระทำการของผู้ต้องหาทั้ง 9 ก่อนหน้านี้ยังได้มีการปลุกระดมให้ประชาชน ใช้อารยะขัดขืน ไม่ต้องเสียภาษีแก่รัฐ และไม่ชำระค่าประปา ค่าไฟฟ้า อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างหนึ่ง โดยตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. จนถึงวันนี้กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 9 ยังยึดทำเนียบอยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้ ครม. และข้าราชการไม่สามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลได้ โดยพยานในฐานะผู้ร้อง มีความจำเป็นต้องขอศาลอนุมัติออกหมายจับ เพราะมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 9 มาสอบสวน ทั้งนี้ในการยื่นคำร้องดังกล่าว พยานส่งเอกสารที่เป็นภาพถ่ายจากวีซีดี และแผ่นวีซีดี 3 แผ่น ที่จะแสดงให้ศาลเห็นถึงพฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้ง 9 ตามคำร้องและคำเบิกความของพยาน อย่างไรก็ดี เมื่อไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้อง เสร็จสิ้นแล้ว ศาลนัดให้พนักงานสอบสวนรอฟังคำสั่งภายในวันนี้ โดยคาดว่าศาลจะมีคำสั่งในเวลา 15.00 น.

-แม้ถูกจับก็จะชุมนุมต่อไปบรรยากาศการชุมนุมในช่วงบ่าย มีประชาชนที่ทราบข่าวการขอออกหมายจับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ต่างทยอยกันเดินทางไปร่วมชุมนุมที่บริเวณภายในทำเนียบรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง จนพื้นที่ด้านหน้าตึกสันติไมตรี ตึกไทยคู่ฟ้า เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ขณะที่จุดชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานฯ เป็นไปอย่างเงียบเหงา มีผู้ฟังการปราศรัยบนเวทีเพียง 1-2 ร้อยคนเท่านั้น และมีเพียงประมาณ 20 คน ที่นั่งตากแดดฟังการปราศรัยอยู่กลางถนน ส่วนที่เหลือต่างพากันหลบแดดอยู่ตามใต้ร่มไม้ต่อมาเวลา 13.00 น. พล.ต.จำลอง แถลงข่าวถึงกรณีการออกหมายจับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า มั่นใจเต็มที่ว่าแกนนำทั้งหมดจะต้องถูกจับกุมในช่วงบ่ายอย่างแน่นอน และทั้งหมดพร้อมที่จะถูกจับกุม ไม่มีการขัดขืน แต่ไม่ขอบอกว่าจะอยู่ปะปนกับประชาชนหรือบนเวทีให้ตำรวจตามจับเอาเอง แต่ยืนยันว่าแกนนำทุกคนจะอยู่ภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาล รวมถึงจะไม่มีการนำประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์เพื่อป้องกันการจับกุมอย่างเด็ดขาด แม้แกนนำทั้งหมดถูกจับกุมแล้ว การชุมนุมทั้งที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และภายในทำเนียบรัฐบาลจะดำเนินการต่อไป เพราะมีการตั้งแกนนำพันธมิตรฯ ชุด 2 ไว้แล้ว และหากแกนนำทั้งหมดถูกจับกุม พันธมิตรฯ ไม่ถือว่าเป็นชัยชนะ แต่ฝ่ายที่จับกุมจะต้องเป็นผู้พ่ายแพ้ในที่สุด-ย้ำต้องไม่แก้รธน.

-นายกฯลาออกพล.ต.จำลองกล่าวยืนยันจุดมุ่งหมายของการชุมนุมยังเหมือนเดิม 3 ข้อ คือ ต้องไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญปี"50 รัฐบาลสมัครต้องลาออกไป และสุดท้ายหลังเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ต้องมีการนำการเมืองให้เป็นรูปแบบใหม่ ที่เป็นการเมืองที่เสียสละ ไม่ใช่การเมืองที่เห็นแก่ตัว"หากผมโดนจับไปวันนี้ การดำเนินการต่างๆ จะมอบให้แกนนำรุ่นที่ 2 เป็นผู้สานต่อ และผมมั่นใจว่า แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 จะดำเนินงานได้เป็นอย่างดี ส่วนจะชุมนุมถึงเมื่อไหร่นั้นต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความตั้งใจของรุ่นที่ 2 ต่อไป" พล.ต.จำลองกล่าวเมื่อถามว่า วันที่ 30 ส.ค. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะเสด็จฯทำเนียบรัฐบาล ทรงเป็นประธานเปิดงาน 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อ กลุ่มผู้ชุมนุมจะออกจากทำเนียบหรือไม่ พล.ต.จำลองกล่าวว่า ให้คนที่อยู่พิจารณา แต่อย่าพยายามนำเรื่องอื่นมาบีบบังคับให้พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาล เพราะก่อนหน้านี้เราเคยถูกหลอกมาแล้ว

-โต้นักวิชาการติงอนารยะขัดขืนเมื่อถามว่า หากศาลอาญาและศาลแพ่ง มีคำสั่งให้ผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบ หากแกนนำและผู้ชุมนุมไม่ออก จะถือว่าเป็นการขัดคำสั่งศาลหรือไม่ พล.ต. จำลองกล่าวว่า หากมีการจับกุมแกนนำรุ่น 1 ไปแล้ว ถือว่ามีการดำเนินการตามศาลแล้ว ดังนั้นผู้ชุมนุมจะออกจากทำเนียบหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแกนนำรุ่นต่อไป หากมีคำสั่งออกมาอีก ต้องแล้วแต่แกนนำในรุ่นต่อๆไป ที่สำคัญตำรวจไม่สามารถดำเนินการจับกุมประชาชนที่มาชุมนุมได้ทั้งหมด เพราะจะจับได้แต่แกนนำเท่านั้น เพราะหากมีการจับแกนนำชุดใหม่ จะจัดตั้งขึ้นมาทดแทนได้ตลอด เมื่อถามว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตผอ.กอ.รมน. และน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธาน สนช.อยู่เบื้องหลังการบุกเข้าทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ พล.ต.จำลองกล่าวว่า การที่รู้จักกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เกี่ยวข้องด้วย เมื่อถามต่อว่า กรณีที่กลุ่มนักวิชาการออกมาวิจารณ์ว่า การกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ใช่การกระทำตามแบบอารยะขัดขืน แต่เป็นอนารยะขัดขืน พล.ต.จำลองกล่าวว่า แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน แต่อยากถามว่ากลุ่มนักวิชาการที่ออกมากล่าวโจมตีนั้นเคยออกมาต่อสู้เคียงข้างกับประชาชนบ้างหรือไม่

-เดือดร้อน-ส้วมเต็มขยะเกลื่อนผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบว่า หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯ เข้ายึดบริเวณทำเนียบรัฐบาลแล้วสร้างความยากลำบากให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมในเรื่องความเป็นอยู่ ที่นั่งพักอาศัย และที่ปลดทุกข์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะห้องสุขา ที่ทิ้งขยะ ที่อาบน้ำ เนื่องจากมีผู้ชุมนุมเป็นจำนวนมาก แต่มีห้องสุขาในทำเนียบซึ่งเป็นบริเวณชั้นล่างของตึกบัญชาการอยู่เพียง 2 แห่งเท่านั้น ทำให้ห้องน้ำที่มีอยู่จำนวนจำกัดไม่สามารถรองรับจำนวนผู้ชุมนุมที่มีจำนวนมากได้ ทำให้เกิดความสกปรกอย่างมาก และเริ่มส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง รวมทั้งที่ทิ้งขยะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเศษอาหาร ขวดน้ำ ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้จัดที่ทิ้งไว้เป็นจุดๆ ตามบริเวณทางเดินรอบที่ชุมนุม โดยเฉพาะด้านทางขึ้นหน้าตึกไทยคู่ฟ้า มีกองขยะวางสุมอยู่กองใหญ่มากและเริ่มจะเน่าเหม็นแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานใด หรือจากกลุ่มพันธมิตรฯ เองเข้ามาช่วยทำความสะอาดแต่อย่างใด และในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้สนับ สนุนกลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงมีการทยอยเดินทางมาบริจาคสิ่งของ อาทิ น้ำดื่ม อาหาร ผลไม้ ยารักษาโรค ตลอดทั้งวัน ทำให้ทางกลุ่มผู้ชุมนุม มีเสบียงไม่ขาด
-สำนักเลขาฯนายกฯฟ้องศาลแพ่งเวลา 13.30 น. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยนายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ นายเมธี ใจสมุทร ทนายความ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องพล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-6 เรื่อง ละเมิดขับไล่ตามฟ้อง สรุปว่าโจทก์เป็นหน่วยงานรัฐ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2543 โดยจำเลยที่ 1-6 เป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชา ธิปไตย ชุมนุมประท้วงขับไล่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ให้พ้นจากตำแหน่งและหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน โดยเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 51 จนถึงวันฟ้องที่ 27 ส.ค.นี้ พวกจำเลยได้เคลื่อนย้ายการชุมนุมจาก ถ.ราชดำเนินนอก บางส่วน บริเวณแยกสะพานมัฆวานรังสรรค์ซึ่งเป็นทางสาธารณะ มายังบริเวณทำเนียบรัฐบาล และได้ปิดทางเข้า-ออก ทุกด้านจนนายสมัคร นายกรัฐมนตรี, ครม., ข้าราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และข้าราชการอื่น ไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ และประชุมครม.ได้ตามปกติ-ให้ม็อบพ้นทำเนียบ-เปิดถนนต่อมา กลุ่มพันธมิตรฯ ยังได้ใช้กำลังบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ และเป็นสถานที่สำคัญในการบริหารประเทศ โดยวันเดียวกันกลุ่มพันธมิตรฯ ยังแบ่งหน้าที่กระจายกันใช้กำลังบุกรุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งเป็นสถานที่ราชการโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และโดยร่วมกันกระทำผิดในเวลากลางคืนและกลางวันต่อเนื่องกันจนต้องหยุดการถ่ายทอดข่าวได้ตามปกติ และยังปิดล้อมกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กรมประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการยุยงให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร เข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ซึ่งแม้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะอ้างใช้สิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และการกระทำนั้นไม่สุจริตจงใจให้นายกรัฐมนตรี, ครม. และข้าราชการในสังกัดของโจทก์ได้รับความเสียหายในสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้จึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1-6 กับพวกออกจากทำเนียบรัฐบาล รื้อถอนเวทีปราศรัย รวมทั้งขนย้ายสิ่งกีดขวางอื่นๆ ทั้งหมดจากทำเนียบรัฐบาล และให้จำเลยที่ 1-6 กับพวก เปิดถนนพิษณุโลก ถนนราชดำเนินทุกช่องการจราจร เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสัญจร ให้โจทก์ ครม.สามารถเข้าออกเพื่อปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในทำเนียบรัฐบาลได้

-ขอศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวนอกจากนี้ โจทก์ยังยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวด้วย โดยสรุปว่า พวกโจทก์ได้รับความเดือดร้อน จากการปิดถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกนางเลิ้ง จนถึงแยกมิสกวัน และถ.ราชดำเนิน จากแยกมิสกวันจนถึงแยกมัฆวานรังสรรค์ และได้บุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นสถานที่ทำการของนายกรัฐมนตรี, ครม. และโจทก์ ในการบริหารราชการแผ่นดิน จนทำให้ข้าราชการทำเนียบรัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และปรากฏว่าในวันที่ 27 ส.ค. 51 เวลา 11.30 น. พวกจำเลยที่ 1-6 กับพวกได้เข้าประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในทำเนียบรัฐบาลให้ออกไปจากทำเนียบรัฐบาล นอกจากนี้ในวันที่ 30 ส.ค. ยังมีกำหนดการสำคัญ ในงาน "จากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล" การกระทำดังกล่าวมีผลกระทบสิทธิหน้าที่และทรัพย์สินของบุคคลอื่น จึงมีเหตุฉุกเฉิน ให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และไต่สวนฉุกเฉินขณะเดียวกัน ปรากฏว่า นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความจำเลยที่ 1-6 ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ด้วย

-ทนายพันธมิตรฯยื่นคัดค้านต่อมาเวลา 15.30 น. ศาลมีคำสั่งเปิดบัลลังก์ 403 ไต่สวนฉุกเฉิน โดยนายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ในฐานะเลขานุการรมว.มหาด ไทย กล่าวว่า การร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อให้คุ้มครองชั่วคราวนั้น เพราะเห็นว่า ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ตั้งของอำนาจฝ่ายบริหาร ที่ต้องบริหารบ้านเมืองและรับแขกต่างประเทศ มีทรัพย์สินเอกสารสำคัญมีค่า ซึ่งการที่กลุ่มพันธมิตรฯ บุกเข้ามา ไม่อาจจะอ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญได้ เพราะการกระทำครั้งนี้มีผลกระทบต่อประชาชน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง แต่ขอใช้สิทธิทางศาล เพราะศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายโดยการไต่สวนนั้น ทีมทนายความเตรียมนำพยานเข้าสืบประกอบด้วย พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกตำรวจแห่งชาติ, นายพงษ์ศักดิ์ ศิริวงศ์ ผอ. สำนักสถานที่และรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล, นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยมีหลักฐานเป็นภาพถ่าย วีซีดี บันทึกภาพการชุมนุม และแผนผังการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ พร้อมทั้งหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนิน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความจำเลย กล่าวว่า ในวันนี้ยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ศาลแพ่ง ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการนำประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 เรื่องการคุ้มครองชั่วคราว มาบังคับขับไล่ให้ผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบรัฐบาล ขัดแย้งกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 เรื่องสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธหรือไม่ เนื่องจากการเข้าไปชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล แม้จะเป็นสถานที่ราชการ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ได้บุกเข้าไปภายในอาคาร เพียงแต่นั่งชุมนุมกันที่สนามหญ้า ซึ่งเป็นการยกระดับการแสดงอารยะขัดขืน ของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาลที่หมดความชอบธรรมเท่านั้น

-"โกวิท"แถลงวิงวอนม็อบเวลา 15.30 น. ที่ห้องปารุสกวัน 1 บช.น. พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯ และรมว.มหาด ไทย แถลงว่า เรียนพี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรักทุกท่าน ตนและผบ.ตร.ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เข้ามาดูแลความสงบเรียบร้อยจากกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้มีการจัดให้มีการชุมนุมอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. ถึง 26 ส.ค. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ปฏิบัติการละเมิดต่อกฎหมายได้เข้าไปยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง ทั้งสถานีวิทยุเอ็นบีที กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ ได้ยึดทำเนียบรัฐบาลจากวานนี้จนถึงวันนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ชี้แจงให้ทราบแล้วว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายมีโทษทางอาญาอย่างสูง เพราะทำเนียบถือเป็นสถานที่ราชการที่สำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน มีนายกฯ รองนายกฯ ข้าราชการที่ปฏิบัติงานในทำเนียบถึง 2 พันกว่านาย ทำให้การบริหารราชการของรัฐบาลหยุดชะงักไป 2 วันแล้ว สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศเป็นอย่างยิ่ง สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวภาพความวุ่นวายมาต่อเนื่อง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรม ต่อผู้กระทำผิดกฎหมายทางอาญาอย่างชัดเจน ผู้เป็นแกนนำที่เป็นผู้นำในการกระทำผิดอย่างชัดเจน

-เตรียมสถานที่จัดพระราชพิธีพล.ต.อ.โกวิทแถลงต่อว่า ประการที่ 2 ในวันที่ 30 ส.ค. นี้ รัฐบาลได้จัดพิธีพระราชทานธงสัญลักษณ์โครงการจากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี โดยจะมีพระราชพิธีพระราชทานธงให้แก่ครม. ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้ว่าราชการทั้ง 76 จังหวัด ตลอดจนผู้นำท้องถิ่น รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องในจัดสถานที่ที่ทำเนียบ ให้สมพระเกียรติ ขณะนี้เหลือเวลาอีก 2 วัน กลุ่มพันธมิตรและพี่น้องประชาชนที่ร่วมรับฟังและร่วมชุมนุมอยู่ในทำเนียบได้กระทำผิดกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง 2 วันแล้ว ทางสตช.ได้ชี้แจงมาตามลำดับ ขณะนี้ก็ยังมีผู้ที่ชุมนุมอยู่โดยละเมิดต่อกฎหมาย ตนและผบ.ตร.ตลอดจนเพื่อนตำรวจทุกคนที่ร่วมประชุมอยู่ เพื่อแก้ไขปัญหาและความสงบสุขมาสู่บ้านเมืองของเรา ขอร้องให้พี่น้องประชาชนและกลุ่มพันธมิตรได้กรุณาที่จะเคลื่อนย้ายออกจากทำเนียบ จะไปชุมนุมในสถานที่อื่นที่ไม่เป็นการรบกวนตามสิทธิของท่าน ทางตำรวจก็ไม่ขัดข้องรมว.มหาดไทยกล่าวว่า สถานที่ทำเนียบ ภายในรั้วเรามีความจำเป็นจะต้องจัดปรับปรุงสถานที่ขณะนี้เหลือเวลาจำกัด ตนขอร้องท่านได้กรุณาออกจากทำเนียบตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตนไม่อยากจะเรียกว่ายื่นคำขาด ตนขอใช้คำว่าขอร้องในนามของเพื่อนตำรวจทั้งหมดที่มีภาระหน้าที่ที่จะนำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง การกระทำที่ขัดต่อกฎหมายและมีโทษ ได้ชี้แจงมาตามลำดับแล้ว ตนขอร้องอีกครั้งได้ออกไปจากทำเนียบตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตนจำเป็นต้องรักษาบ้านเมือง รักษากฎหมายให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่รออยู่ว่ารัฐบาลจะทำดำเนินการอย่างไร ตนขอร้องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตนจะนับหนึ่งไปเรื่อยๆ จะแจ้งผ่านโฆษกเป็นระยะ ตำรวจจะดำเนินการตามกฎหมายตามขั้นตอน

-สั่งผู้ว่าฯทุกจังหวัดชี้แจงปชช.ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงมหาดไทย ว่า ก่อนหน้านี้ เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.โกวิท เรียกประชุมผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ขอให้ผู้ว่าฯ ช่วยชี้แจงขอความร่วมมือ บอกประชาชนว่าการชุมนุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทำให้บ้านเมืองเสียหาย การจัดงานพระราชพิธี เพื่อให้ประชา ชนถวายความจงรักภักดี รัฐบาลจำเป็นต้องใช้พื้นที่ จึงขอร้องผ่านผู้ว่าฯ ให้แจ้งไปยังนายอำเภอและผู้นำชุมนุมที่มีญาติมาร่วมชุมนุม บอกให้กลับไปภูมิลำเนาของตัวเอง เพราะงานที่จะจัดขึ้นไม่ควรสะดุดหรือมีอุปสรรค รัฐบาลจะใช้มาตรการสมานฉันท์ แต่ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือ ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายตามลำดับ นอกจากนี้ยังฝากให้ผู้ว่าฯ ดูแลปั๊มน้ำมันและสถานที่สำคัญต่างๆ อาจมีผู้ไม่หวังดีก่อเหตุหรือก่อกวนสร้างปัญหา ให้อาสารักษาดินแดน (อส.) ไปดูแลด้วย ต้องไปดูแลให้เข้มข้นวันที่ 28-30 ส.ค.นายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงสั่งการให้ทุกจังหวัดป้องกันอย่าให้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปยึดศาลากลางจนข้าราชการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หากสามารถยุติการชุมนุมพันธมิตรฯ ในพื้นที่กทม.ได้ อาจมีกลุ่มผู้ชุมนุมโกรธแค้นจนเป็นเหตุให้จู่โจมโดยใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระ จายไปยังศาลาว่าการจังหวัดต่างๆ ได้ ผู้ว่าฯ จะต้องป้องกันและประสานหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่าให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นได้ ต้องใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถ-ศาลอนุมัติหมายจับ 9 แกนนำแล้วเวลา 16.00 น. ศาลอาญามีคำสั่งกรณีพนักงานสอบสวนขออนุมัติหมายจับแกนนำพันธมิตรทั้ง 9 คน โดยพิเคราะห์พฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้ง 9 ตามที่พยาน ผู้ร้อง ได้ให้การประกอบหลักฐานวีซีดีที่นำส่งแล้วเห็นว่า มีพยานหลักฐานพอสมควรให้เชื่อได้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 9 น่าจะกระทำการอันเป็นความผิดอาญาตามคำร้อง จึงอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 9 ตามคำขอ ทั้งนี้ ศาลใช้เวลาหารือนาน 7 ชั่วโมงเลขานุการศาลอาญา เปิดเผยว่า องค์คณะศาลอาญาได้มีมติสรุปผลให้ออกหมายจับแกนนำทั้ง 9 คน ใน 4 ข้อหา โดยทั้งหมดมีพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจนว่าได้ร่วมกันกระทำความผิดจริง และอาจมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่ 9 แกนนำด้วย ทั้งนี้ แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 9 คน ได้แก่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายเทิดภูมิ ใจดี และนายอมร อมรรัตนานนท์พ.ต.ท.มานะ เผาะช่วย พนักงานสอบสวน สบ.3 สน.สุทธิสาร กล่าวว่า ศาลเห็นด้วยกับพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนนำเสนอ และมีเหตุอันควรที่จะออกหมายจับทั้ง 4 ข้อหา จากนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินการตามหมาย ซึ่งการขอหมายจับครั้งนี้ได้รวบรวมเอกสารมานาน ไม่ใช่นำเหตุการณ์เมื่อที่ 26 ส.ค. มาเท่านั้น ส่วนจะมีการขอหมายจับเพิ่มอีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน เบื้องต้นต้นจะเดินทางไปที่บช.น.เพื่อไปรายงาน และรอฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป

-ปั่นป่วน-ลือตร.บุกจับแกนนำช่วงบ่าย พล.ต.จำลอง ย้ายมานั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า หลังมีความชัดเจนว่าศาลจะอนุมัติออกหมายจับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งหมดแล้ว บนเวทีปราศรัยจึงมีการปลุกระดมกลุ่มผู้ชุมนุมให้เตรียมรับมือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อาจบุกเข้ามาจับตัวแกนนำ จึงมีการเตรียมพร้อมรับมือเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เวลา 16.00 น. ฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ยังปักหลักชุมนุมท่ามกลางสายฝน ทั้งด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า หน้าตึกบัญชาการอย่างแน่นหนาเช่นเดิม โดยอาศัยร่มและผ้าพลาสติกที่รองนั่งเอามาคลุมหัว บางส่วนวิ่งหนีฝนไปตามที่กำบังต่างๆ เวลา 16.10 น. มีข่าวศาลอนุมัติออกหมายจับแกนนำทั้ง 5 คน และผู้ประสานงาน 1 คน รวมทั้งแนวร่วมอีก 3 คน ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณเชิงสะพานมัฆวานฯ วิ่งฝ่าฝนมารวมกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่ในทำเนียบ เนื่องจากเกรงว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาล้อมจับแกนนำ ขณะเดียวกันก็มีการปล่อยข่าวลือว่ามีกลุ่มนปก.เข้ามาป่วน ยิ่งทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเกิดความสับสน ขณะที่การ์ดพันธมิตรฯ ได้เรียกระดมพลจากสะพานมัฆวานฯ มาสมทบจนทำให้เกิดความชุลมุน คิดว่ามีการบุกจับแกนนำ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงต้องขึ้นรถปราศรัยเพื่อชี้แจงกับกลุ่มผู้ชุมนุมถึงสถานการณ์ว่า หน่วยรปภ.สามารถควบคุมสถาน การณ์ได้ขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบและปักหลักอยู่ในทำเนียบรัฐบาลต่อไป อย่างไรก็ตามระหว่างที่เกิดเหตุชุลมุนหน่วยรปภ.บางคนได้พกอาวุธ เช่น มีด ไม้กอล์ฟ เหล็กแป๊บ ไม้พลอง ด้ามธง ร่ม ส่วนคนที่ไม่สามารถหาอาวุธได้ทันพยายามหยิบฉวยสิ่งของใกล้มือที่จะใช้เป็นอาวุธได้นำติดตัวไปด้วย

-โล่มนุษย์คุ้มครอง"มหา-สนธิ"เวลา 17.00 น. นายสนธิ พร้อมพล.ต.จำลอง ขึ้นเวทีปราศรัย โดยนายสนธิ กล่าวว่า จะยอมให้เจ้าหน้าที่เข้ามาจับโดยไม่หนีไม่ไปไหน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้ทุกคนยึดทำเนียบเอาไว้ รัฐบาลชั่วช้ากำลังจะฆ่าตัวเอง เราจะสู้ไม่ถอยจนกว่ารัฐบาลจะออกไปพล.ต.จำลอง กล่าวว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นให้ผู้ชุมนุมทุกคนฟังแกนนำรุ่น 2 ทั้งนายสาวิต แก้วหวาน นายศิริชัย ไม้งาม และนายสำราญ รอดเพชร อย่าตื่นเต้น อย่าตกใจ และอย่าเสียใจ ขอให้ยึดที่นี่เอาไว้ให้นานที่สุด อย่าไปจากที่นี่ เพราะถ้าไปจะเสียท่า ประ ชาชนจากต่างจังหวัดกำลังเข้ามาช่วยอีกมาก ถ้าออกไปเราจะพ่ายแพ้เมื่อกล่าวจบนายสนธิ และพล.ต.จำลอง ได้ลงจากเวทีมานั่งตรงกลางสนามหญ้าหน้าตึกไทยท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุม โดยทั้งสองสวมเสื้อยืดสีเหลืองทับด้วยเสื้อกันฝน นั่งบนเก้าอี้พลาสติก ขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงยืนคล้องแขนเป็นวงกลมล้อมทั้งสองคนเอาไว้ 2 ชั้น

-กองทัพสั่งเตรียมกำลังแล้วมีรายงานข่าวเปิดเผยว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. มีคำสั่งให้พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 เตรียมพร้อมกำลังทหารกองร้อยปราบปรามความไม่สงบของกองทัพภาคที่ 1 ในส่วนของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1รอ.) ในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 9 กองร้อย หรือประมาณ 1 พันนาย เพื่อพร้อมรับสถานการณ์ความไม่สงบที่จะเกิดขึ้นจากการสลายการชุมนุมโดยตำรวจรายงานข่าวในกองทัพ กล่าวว่า พล.ท.ประยุทธ์ สั่งให้พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผบ.พล.1รอ. เตรียมพร้อมกองร้อยปราบปรามความไม่สงบและควบคุมฝูงชนนี้ เตรียมพร้อมในที่ตั้งรอคำสั่ง หากต้องออกไปช่วยตำรวจหรือกรณีตำรวจดูแลไม่ไหวแล้วรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทหารก็จะออกได้ทันทีโดยพล.ท.ประยุทธ์ มีคำสั่งให้ทหารทุกคนห้ามใช้อาวุธปืน ไม่มีการแจกจ่ายอาวุธปืน นอกเสียจากอุปกรณ์ปราบจลาจล โดยย้ำว่าทหารจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน ไม่ทำร้ายประชาชน แต่แค่ทำหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างเป็นกลาง โดยใช้กำลังจากทั้งกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1รอ.) กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) เดิมมีการเตรียมพร้อมมาส่วนหนึ่งตั้งแต่คืนวันที่ 25 ส.ค. ก่อนที่พันธมิตรฯ จะยึดทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 26 ส.ค. แล้ว แต่ไม่ได้มีการนำกำลังออกเพราะสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต นอกจากนี้ พล.ท.ประยุทธ์ ได้ตั้งกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 ส่วนหน้า ขึ้นที่ ร.1รอ. ซึ่งกำลังส่วนนี้รอจังหวะที่รัฐบาลจะประกาศใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หากตำรวจคงควบคุมม็อบไม่ได้ เพราะต้องเกิดความรุนแรงขึ้นและอาจเกิดการนองเลือดหรือสูญเสีย จะทำให้รัฐบาลเสียความชอบธรรมในการปกครองและต้องรับผิดชอบ เมื่อนั้นนำทหารออกมาดูแลสถานการณ์มันก็เสี่ยงต่อการกลายเป็นการยึดอำนาจ

-"เติ้ง"เตือน"มหา"ระวังมือที่สามนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า จากที่ฟังพล.ต.จำลองผ่านสถานีเอเอสทีวี บอกว่าจะเคลื่อนไหวแบบสงบและอหิงสา แต่พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็พบว่าสิ่งที่พล.ต.จำลองพูดกลับตาลปัตรไปหมด มีการบุกสถานที่ราชการซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ควร สิ่งที่พันธมิตรฯ ต้องระมัดระวังคือเรื่องที่อาจจะมีมือที่ 3 เข้ามาสร้างปัญหาได้ ส่วนตัวเห็นด้วยกับแนวทางการแก้ไขปัญหาของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่นิ่งเฉย เพราะถ้ารัฐบาลสลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรงก็จะเกิดปัญหามากขึ้น เพราะขณะนี้ประเทศแย่อยู่แล้ว ที่ผ่านมาทุกฝ่ายไม่ฟังรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางออกของเรื่องนี้คงต้องไปถามรัฐบาล ส่วนที่มีการเสนอให้รัฐบาลและพันธมิตรฯ หันหน้าเข้าหากันก็น่าจะรู้กันอยู่แล้วว่าคงเป็นไปไม่ได้ มีแต่จะหันหน้าตีกันมากกว่านายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิป) กล่าวว่า เชื่อว่าสิ่งที่นายกฯตัดสินใจ อะลุ้มอล่วยที่สุดแล้ว ส่วนการออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯทั้ง 5 คนจะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นหรือไม่นั้น คิดว่าพล.ต.อ.โกวิทจะมีวิจารณญาณ แต่ที่พันธมิตรฯพยายามบอกว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้สร้างความรุนแรงนั้น สถานการณ์ในขณะนี้ชี้ชัดได้ว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว เมื่อถามว่าเกรงหรือไม่ว่าพันธมิตรฯจะมาชุมนุมที่รัฐสภาหรือไม่ นายวิทยากล่าวว่า ไม่แนะนำให้ทำอย่างนั้น เพราะที่นี่เป็นที่ทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ และหากพันธมิตรฯมาชุมนุมจริงจะยิ่งทำให้ขัดรัฐธรรมนูญมากขึ้น

-ระดมตร.ตรึงสถานีเอ็นบีทีก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผบก.น.2 เดินทางมาตรวจสอบความเสียหายภายในสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที หลังจากเกิดเหตุกลุ่มนักรบศรีวิชัยของกลุ่มพันธมิตรฯ บุกเข้าไปยึดสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวจนได้รับความเสียหาย มีนายสุริยงค์ หุณฑสาร รักษาการผอ.สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เป็นผู้นำตรวจสอบภายในสถานีจากการตรวจสอบบริเวณชั้นที่ 1 พบว่าห้องที่ประทับส่วนพระองค์ของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ที่อยู่ติดกับสตูดิโอของสถานี ส่วนที่ได้รับความเสียหายคือประตูทางเข้า ทำให้บริเวณวงกบของประตูหลุดออก จากการพังประตูเข้าไปของกลุ่มนักรบศรีวิชัย รวมทั้งบริเวณหน้าของประตูพบรอยเท้าทั่วประตู สำหรับภายในห้องประทับ ก็ไม่มีส่วนใดได้รับความเสียหาย ส่วนบริเวณชั้นที่ 2 และชั้นที่ 6 ของสถานี ได้รับความเสียหายบางส่วน ซึ่งทางสถานีก็ได้เตรียมซ่อมแซมต่อไปจากนั้นพล.ต.อ.จงรักเปิดแถลงข่าว พร้อมทั้งนำของกลางประกอบไปด้วย อาวุธปืน 5 กระบอก อาวุธมีด หนังสติ๊ก ใบกระท่อม และอื่นๆ อีกหลายรายการ ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดเพิ่มเติมได้จากกลุ่มนักรบศรีวิชัยด้วยผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากบก.น.2 มาเฝ้ารักษาความปลอดภัย รวมทั้งตรวจสอบรถที่เข้าออกอย่างเข้มงวด

-เผย"หมัก"สั่งต้องจบวันนี้เวลา 17.00 น. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ก่อนพระอาทิตย์ตกดินจะใช้กำลังตำรวจ อาทิ ตำรวจ 191 หน่วยอรินทราช นครบาลและตำรวจภูธรหลายพันนาย เข้าไปเคลียร์เอากลุ่มผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบรัฐบาล เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก โดยจะใช้วิธีเจรจาเชิญออกก่อน หากไม่ยินยอมคงต้องใช้กำลังเคลียร์ออก มั่นใจว่าจะจบในวันนี้ เพราะในวันที่ 28 ส.ค. ต้องเริ่มทำความสะอาดพื้นที่ปรับสภาพพื้นหญ้าเพื่อรับเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ที่จะเสด็จฯพระราชทานธงงาน 116 วัน จากวันแม่ถึงวันพ่อ ในวันที่ 30 ส.ค.นี้ จึงต้องใช้เวลาเตรียมพื้นที่ถึง 2 วัน โดยเฉพาะต้องเปิดให้หน่วยสรรพาวุธสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าตรวจพื้นที่ทุกตารางนิ้ว เพราะไม่มั่นใจว่าพวกเข้าไปได้เข้าไปซุกซ่อนฝังรีโมตหรือระเบิดไว้ที่ใดบ้างพล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า สำหรับกรณีศาลได้ออกหมายจับและตั้งข้อหา 9 แกนนำพันธมิตรฯ ถือว่าเป็นการออกหมายจับอาชญากร ดังนั้น หากจะมีองครักษ์พิทักษ์อาชญากรก็จะถูกข้อหาหนักฐานขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หากมีอาวุธตำรวจสามารถดำเนินการขั้นรุนแรงได้ เบื้องต้นจะใช้ยุทธวิธีผลักดันให้ออกนอกพื้นที่ตามการฝึกอบรมของตำรวจแต่พยายามไม่ให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ หากมีการต่อต้านจากประชาชนก็เป็นความชอบธรรมตามกฎหมายที่ตำรวจจะสามารถดำเนินการได้ ส่วนปฏิบัติการของตำรวจจะทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายถึงขั้นเกิดจลาจลในทำเนียบ เผาตึกไทยคู่ฟ้าและอาคารสำคัญอื่นๆ หรือไม่ เชื่อว่าตำรวจที่จะเข้าปฏิบัติการสามารถควบคุมพื้นที่ได้ แต่ถ้าฝ่ายพันธมิตรฯ ตัดสินใจใช้วิธีการทำลายสถานที่คงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด นายกฯมั่นใจว่าจะสามารถจบได้ในวันนี้ ไม่จบไม่ได้ เพราะต้องเคลียร์พื้นที่ก่อนวันที่ 30 ส.ค. นายกฯไม่ห่วงเพราะเชื่อพล.ต.อ.โกวิทว่าสามารถสั่งการดูแลได้

-พันธมิตรระดมกำลังต้านตร.เวลาไล่เลี่ยกัน บรรยากาศที่ชุมนุมบริเวณภายในทำเนียบรัฐบาล มีประชาชนเดินทางไปเข้าร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ การ์ดพันธมิตรฯ นำรั้วเหล็กมาขวางกั้นทางไว้ และจัดคนยืนไว้จำนวน 2 แถวประมาณ 50 คนไว้รักษารั้วดังกล่าว และด้านหน้ารั้วจัดอาสาสมัครนั่งขวางทางไว้ประมาณ 100 คนบริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล การ์ดพันธมิตรฯ จัดอาสาสมัครสตรีจำนวน 100 คน นั่งปักหลักไว้เพื่อป้องกันการบุกเข้าจับแกนนำพันธมิตรฯ ตามหมายจับทางประตูดังกล่าว เนื่องจากใกล้กับ ถ.ลิขิต ด้านข้าง ป.ป.ช. ที่ทะลุถึงบชน. โดยที่บริเวณปากทาง ถ.ลิขิต นำรถบรรทุกหกล้อของกองทัพธรรมจอดปิดถนนไว้ มีการ์ดพันธมิตรฯ ประมาณ 10 คนเฝ้ารักษาไว้ โดยตลอด ถ.พิษณุโลก-แยกวังแดง มีประชาชนจำนวนมากทยอยเดินเท้าไปเข้าร่วมชุมนุม ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาลตลอดเวลา ส่วนจุดชุมนุมสะพานมัฆวานรังสรรค์มีผู้ชุมนุมบางตาประมาณ 300 คนเท่านั้นที่ฟังผู้ปราศรัยบนเวทีดังกล่าว

-"มหา"เขียนจม.ฝากฝังม็อบผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เดินลงมาจากรถ 6 ล้อที่ติดตั้งเครื่องขยายเสียง ก่อนที่จะเดินทางมายังบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก จากนั้นนายสนธิได้เปลี่ยนเสื้อที่เปียกปอนฝน โดยได้สวมใส่เสื้อยืดสีเหลือง ขณะที่นายสนธิกำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่นั้น กลุ่มช่างภาพได้พยายามเข้ามาบันทึกภาพ แต่ รปภ. พันธมิตรฯ ได้พยายามเข้ากีดกัน ใช้มือปัดกล้องของช่างภาพของช่อง 9 จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมที่ยืนอยู่บริเวณด้านนอกได้ตะโกนโห่ร้องไล่บรรดาช่างภาพ แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นต่อมาพล.ต.จำลองได้เขียนจดหมาย 2 ฉบับ และส่งมอบให้เจ้าหน้าที่บนรถ 6 ล้อเครื่องขยายเสียง เพื่อประกาศให้ผู้ชุมนุมรับทราบ โดยฉบับที่ 1 มีใจความระบุว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามเข้ามาสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และจับกุมแกนนำ ทำให้ต้องมีมาตรการป้องกันด้วยการปิดประตูทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลทุกด้าน เพื่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุม ส่วนฉบับที่ 2 มีใจความระบุว่า หากมีการจับกุมแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ขอให้พี่น้องอย่าตามแกนนำไป เนื่องจากหากพี่น้องทุกคนถูกเจ้าหน้าที่จับกุมพวกเราจะแพ้ทันที อีกทั้งขณะนี้เป้าหมายของการชุมนุมยังไม่ประสบผลสำเร็จ นั่นคือนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ยังไม่ลาออกจากตำแหน่ง จึงอยากให้พี่น้องทุกคนปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณทำเนียบรัฐบาลต่อไป

-สื่อนอกประโคมข่าวม็อบสำนักข่าวเอเอฟพีของฝรั่งเศสรายงานเหตุม็อบพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบในวันที่ 2 ว่า ดูเหมือนการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ไม่มีผิด เพราะประชาชนที่ดูเคร่ง เครียดกับการลุกฮือเมื่อวานดูมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง หลายคนถือโอกาสถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก บางคนขนข้าวปลาอาหารมาตั้งวงรับประทานกันกลางสนามหญ้าในช่วงเที่ยงวัน และบางส่วนจับกลุ่มกันพูดคุยกันและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน บรรยากาศดูเหมือนการจัดงานเลี้ยงฉลอง แทนที่จะเป็นการชุมนุมประท้วงเอเอฟพีระบุว่า ฝูงชนจากกลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงปักหลักอยู่กลางสนามหญ้า หน้าทำเนียบรัฐบาล รวมถึงกระทรวงสำคัญอีกหลายแห่ง ไม่สนใจคำสั่งของตำรวจที่ขู่จะดำเนินคดี ถ้าไม่ยอมออกมาจากสถานที่ดังกล่าว แม้แดดจะแรงสักเพียงใด แต่กลุ่มผู้ประท้วงก็ไม่หวั่น เพราะเตรียมร่มและสวมหมวกปีกกว้างคอยป้องกันแสงแดดเอาไว้แล้ว ตามจุดประท้วงในสถานที่ต่างๆ ยังมีพ่อค้าแม่ค้าไปตั้งแผงขายอาหาร มีตั้งแต่ชาเย็นไปจนถึงข้าวไข่เจียว ให้กลุ่มผู้ประท้วงได้เลือกซื้อตามใจชอบ ก่อนจะนำอาหารมาตั้งวงกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

-ให้ม็อบปล่อยตร.เข้ามาจับผู้สื่อข่าวรายงานว่า การ์ดกลุ่มพันธมิตรฯ กระจายกำลังไปปิดประตูทางเข้าออกทำเนียบประตูละกว่า 10 คน เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายจับเข้ามาภายในทำเนียบ แต่ยังเปิดโอกาสให้กลุ่มพันธมิตรฯที่จะเข้ามาสมทบเดินทางเข้ามาได้เวลา 17.35 น. พล.ต.จำลองขึ้นกล่าวบนเวทีอีกครั้ง ขอร้องหากตำรวจนำหมายจับเข้ามาอย่าได้ไปขวาง เพราะในที่สุดตำรวจก็จะจับแกนนำพวกเราไปได้ และขอว่าไม่ต้องตาม ให้ทุกคนปักหลักค้างที่ทำเนียบต่อไป เพราะถ้าตามไปแล้วจำนวนคนที่นี่จะน้อยลงทำให้เจ้าหน้าที่เข้าสลายได้ง่ายและวันที่ 28 ส.ค. อาจมีพี่น้องจากต่างจังหวัดเข้ามาเพิ่มอีก จึงขอให้ปักหลักไว้ก่อน แล้วค่อยมาคิดกันต่อว่าจะทำอย่างไร ถ้าใน 2-3 วันนี้ ยังรวมตัวกันอยู่ได้รับรองรัฐบาลแพ้แน่นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวปราศรัยว่า วันนี้ตนจะมาสอนบทเรียนบทสุดท้ายในฐานะที่เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนราชดำเนิน ขอให้พี่น้องจำไว้ว่าขณะนี้เรากำลังทำการเมืองใหม่ให้เป็นประวัติศาสตร์ของโลก โดยการทำอารยะขัดขืนที่ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ ยอมรับว่าพวกเราไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของรัฐบาลโดยปราศจากความรุนแรง

-สนธิย้ำสร้างการเมืองใหม่"ตรงนี้ผมขอบัญญัติศัพท์ใหม่ว่าประชาภิวัฒน์คือประชาชนต้องการอภิวัฒน์การเมืองใหม่ ต้องการประชาธิปไตยในบริบทใหม่ที่ไม่เหมือนจากที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่าการเมืองแบบเก่ายังคงครอบงำในทุกระบบทั้งระบบทุน มีการฉ้อโกงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อำนาจ โดยเฉพาะการซื้อเสียงเลือกตั้งเพื่อให้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ของประชาชนและของชาติไปเป็นของตัวเอง รวมถึงการที่ข้าราชการประจำก้มหัวให้กับฝ่ายการเมืองเพื่อให้ได้หน้าที่การงานที่สูงๆ โดยไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะตำรวจที่ไม่เคยเป็นตำรวจของประชาชน ในสายตาประชาชนเปรียบเสมือนโจรในเครื่องแบบ"นายสนธิ กล่าวว่า การมาของตำรวจในการจับกุมแกนนำพันธมิตรฯ ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการครอบงำกระบวนการยุติธรรมที่ถูกการเมืองควบคุมไว้ ดังนั้น การที่ประชาชนมาชุมนุมครั้งนี้ เป็นเพราะรัฐบาลและฝ่ายการเมืองมีปัญหาไม่สามารถอ้างเหตุผลที่จะบริหารประเทศได้ สุดท้ายนักการเมืองมักอ้างเสียงของประชาชนเพื่อเข้ามาบริหารประเทศและเมื่อใดที่ฝ่ายการเมืองมีปัญหากับประชาชน มักอ้างว่าให้ไปแก้ไขในสภา ซึ่งใครพูดอย่างนี้ถือเป็นฝ่ายที่โง่ ดังนั้นเราไม่กลัวติดคุก คนที่ไม่กล้าเข้าคุกคือคนที่ขี้กลัว เพื่อให้การเมืองภาคประชาภิวัฒน์เดินหน้าต่อไปประชาชนต้องไม่กลัวและกล้าจะเดินหน้าต่อไป ช่วงสุดท้ายตนเชื่อว่าตำรวจจะเข้ามาจับกุมแกนนำในช่วงค่ำและคงจะเจรจาเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง แต่เรื่องนี้ให้อยู่ที่การพิจารณาของพี่น้องที่มาชุมนุมว่าจะตัดสินใจอย่างไร

-ชี้ถ้าขัดขืน-ตร.ยิงแกนนำแน่เวลา 19.00 น. ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวและช่างภาพทั้งไทยและต่างประเทศยืนรอทำข่าวการเข้าจับกุมนายสนธิ และพล.ต.จำลอง รวมทั้งแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ถูกออกหมายจับที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ใกล้เวทีใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯท่ามกลางกำแพงมนุษย์นั้น นายสนธิเดินมาหากลุ่มผู้สื่อข่าว พร้อมกล่าวว่า ทราบหรือไม่ว่าขณะนี้มีตำรวจนอกเครื่องแบบปลอมตัวเดินปะปนอยู่กับกลุ่มพันธมิตรฯประมาณ 100 กว่าคน และก่อนที่ตำรวจจะเข้าจับกุมแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ จะมีเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งเข้ามายึดกล้องถ่ายภาพของช่างภาพ เพื่อไม่ต้องการให้มีการบันทึกภาพข่าวขณะที่ตำรวจเข้าจับกุม หากมีการขัดขืนแล้วถ้ายิงได้เขาก็จะยิง ไม่มีภาพหลักฐานที่จ.สงขลา กลุ่มสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(มอ.) วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้ออกแถลงการณ์ประกาศสนับสนุนภารกิจกู้ชาติของพันธมิตรฯที่ชุมนุมอยู่ในขณะนี้ พร้อมกับเรียกร้องให้ยุติการโฆษณาชวน เชื่อ ผ่านกระบอกเสียงของรัฐซึ่งมาจากภาษีอากรของประชาชน และต้องเสนอข้อเท็จจริงต่อประชาชนอย่างเป็นธรรม หยุดการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนทุกรูปแบบ ทั้งการใช้กำลังปราบปราม และการยั่วยุด้วยถ้อยคำผ่านสื่อต่างๆ อันจะนำไปสู่ความแตกแยกของประชาชนในชาติที่ยากต่อการเยียวยา-พันธมิตรสงขลาขู่ปิดสนามบินนอกจากนี้ เวลา 15.00 น. นายบรรจง นะแส แกนนำองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ และพันธมิตรสงขลา พร้อมด้วยกลุ่มพันธมิตรประมาณ 300 คน ได้ทยอยกันไปรวมตัวอยู่ที่ถนนทางเข้าสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ พร้อมกล่าวว่าหากรัฐบาลใช้ความรุนแรงสลายกลุ่มพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล ทางพันธมิตรสงขลาจะปิดถนนหน้าสนามบินทันที ซึ่งการชุมนุมดังกล่าวมีขึ้นอย่างสันติ ไม่รบกวนเส้นทางการจราจรบริเวณหน้าสนามบินแต่อย่างใด และยังคงเฝ้าติดตามข่าวความเคลื่อนไหวจากสื่อต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากมีการใช้ความรุนแรงกับกลุ่มพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล ทางเราก็พร้อมจะรวมตัวกันปิดถนนทันที

-โซ่มนุษย์ที่ล้อม 5 แกนนำผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าที่เคยมีการปรับภูมิทัศน์อย่างสวยงามในช่วงรับต้อน รับผู้นำเอเปก ปรากฏว่าหลังพันธมิตรฯมาปักหลักจำนวนมาก ประกอบกับเกิดฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทำให้สนามหญ้าเละ เกิดหลุมบ่อจำนวนมากเวลา 20.00 น. บนเวทีได้ปิดเสียงเพลงเพื่อให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบ ปรากฏว่าไฟสปอตไลต์ 2 ตัวที่ส่องบริเวณด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้าได้เปิดขึ้นพร้อมกับไฟในตึกก็เปิดเช่นกัน ทำให้การ์ดพันธมิตรฯรีบตั้งแถวจากหน้าตึกไทยคู่ฟ้าจนมาชนกับกำแพงโซ่มนุษย์ที่ล้อมเป็นวงกลมรอบแกนนำพันธมิตรฯทั้ง 5 ไว้ ทั้งนี้ ทางผู้ชุมนุมได้ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้ตึกไทยคู่ฟ้าเป็นศูนย์บัญชาการในการบุกเข้ามาควบคุมตัวแกนนำ ต่อมานายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้เดินไปตรวจสอบบริเวณประตูหน้าตึกไทยคู่ฟ้าและส่องดูภายในนาน 5 นาที ก่อนจะกลับเข้ามาในวงล้อมโล่มนุษย์ จากนั้นนายสมศักดิ์ พล.ต.จำลอง พร้อมด้วยนักรบศรีวิชัยประมาณ 20 คนได้เดินไปตรวจสอบบริเวณหน้าประตูตึกไทยฯอีกครั้ง ก่อนจะเดินตรวจสอบรอบอาคารตึกไทยคู่ฟ้า หลังจากผ่านไป 10 นาที นักรบศรีวิชัยได้เดินกลับมาที่วงกลมโดยไม่มีนายสมศักดิ์ กับพล.ต.จำลองกลับมาด้วย-มหาสั่งเสริมกำลังทุกประตูโดยพล.ต.จำลอง และนายสมศักดิ์ ได้เดินตรวจพื้นที่การชุมนุมภายในทำเนียบฯและบริเวณด้านสะพานชมัยมรุเชฐ จากนั้นได้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อมองบนที่สูงพบว่ามีจุดที่เสี่ยงต่อการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าจู่โจมมากที่สุด 2 จุดเนื่องจากมีอาสาสมัครไม่มาก คือบริเวณประตู 7 ด้านหลังตึกนารีสโมสร และประตู 8 ซึ่งอยู่ระหว่างตึกบัญชาการ 1 และตึกบัญชาการ 2 โดยทั้ง 2 ประตูอยู่ติดด้านคลองผดุงกรุงเกษมและอยู่ตรงข้ามวัดโสมฯ พล.ต.จำลอง จึงสั่งให้เสริมกำลังเพิ่ม บนเวทีจึงประกาศขออาสาสมัครเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก นอกจากนี้บนเวทีปราศรัย ยังเรียกร้องตำรวจที่อยู่บนตึกไทยฯว่าอย่าทำตัวเป็นอีแอบ หากจะจับก็ให้ดำเนินการเลย อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการชุมนุมจึงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเวลา 21.00 น. พันธมิตรฯระดมกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 200 คนมานั่งปิดล้อมด้านข้างตึกสันติไมตรี บริเวณประตู 4 ฝั่งถนนพิษณุโลก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เคลื่อนกำลังเข้ามาด้านหลังอาคาร นอกจากนี้บนเวทีปราศรัยเคลื่อนที่ได้ประกาศรับอาสาสมัครเป็นชายฉกรรจ์ 500 คนเพื่อทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยบริเวณด้านนอกทำเนียบฯ รวมทั้งจะนำไปอุดช่องโหว่ต่างๆ ที่คาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้เป็นช่องทางเคลื่อนเข้ามาจับกุมแกนนำ ส่วนบริเวณถนนพิษณุโลกและ สะพานชมัยมรุเชฐ ยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักอยู่ประมาณ 1,000 กว่าคนผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ซึ่งเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงรับรองนักกีฬาโอลิมปิกที่ราชนาวิกสภา กองทัพเรือ โดยนายสมัคร ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงการออกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยบอกว่าวันนี้ไม่มีเรื่องอื่น มีแต่เรื่องกีฬา และหลังออกจากงานเลี้ยง นายสมัคร ได้ตรงไปยังเซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง โดยไม่ได้กลับเข้าบ้านพัก

-ศาลแพ่งสั่งม็อบพ้นทำเนียบต่อมาเวลา 22.00 น. ศาลแพ่งมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวกรณีที่นายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นโจกท์ยื่นฟ้องพันธมิตรฯ บุกเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากศาลพิจารณแล้วเห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ซึ่งต้องชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ดังนั้น ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเกินกว่าที่ควร จึงมีคำสั่งให้จำเลยทั้ง 6 ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสุริยะใส กตะศิลา และกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากบริเวณทำเนียบรัฐบาล รื้อถอนเวทีและสิ่งปลูกสร้างกีดขวาง และให้เปิดถนนพิษณุโลกและราชดำเนิน เพื่อให้นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป เดินทางได้โดยสะดวก โดยให้มีผลในทันที

-แกนนำพันธมิตรหารือเครียดเวลาไล่เลี่ยกัน กลุ่มพันธมิตรฯได้ระดมชายฉกรรจ์จำนวนมากไปรักษาความปลอดภัยตลอดแนวคลองด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า และบริเวณสะพานเชื่อมระหว่างสำนักปลัดนายกรัฐมนตรีกับด้านหน้าตึกสันติไมตรี และบริเวณประตู 7 ซึ่งอยู่ด้านข้างตึกนารีสโมสร ซึ่งเป็นแนวกั้นระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้ยังมีการนำธงชาติไทยที่มีก้านธงขนาดใหญ่มากองร่วมกันเป็นจำนวนมาก ขณะที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ระบุบนเวทีว่ามีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 5,000 นายเพื่อสลายการชุมนุมในเวลา 23.00 น. แต่ไม่ต้องกลัวเพราะพันธมิตรฯมีจำนวนมาก โดยยืนยันที่ปักหลักชุมนุมในทำเนียบฯ หากจะแพ้ก็ต้องแพ้ในทำเนียบฯ อย่างไรก็ตาม พล.ต.จำลองได้กำชับอีกครั้งว่าหากแกนนำทั้ง 9 คนถูกจับ กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ต้องตามไป แต่ให้ปักหลักชุมนุมต่อไปอีก 2-3 วันเชื่อว่าพันธมิตรฯจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสนธิ และพล.ต. จำลอง แยกย้ายกันเดินตรวจตรารอบๆทำเนียบ เป็นช่วงเดียวกับที่ศาลแพ่งมีคำสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯย้ายออกจากทำเนียบรัฐบาล และเปิดถนนราชดำเนินและพิษณุโลกทันที โดยเมื่อทั้งคู่เดินมาเจอกันได้หารือกันอย่างเคร่งเครียด ขณะที่แกนนำเหลืออีก 3 คนยังคงนั่งอยู่ในวงล้อมโซ่มนุษย์

-โกวิทย้ำต้องทำตามคำสั่งศาลทั้งนี้ พิธีกรบนเวทีได้ประกาศถึงคำสั่งศาลแพ่งที่ให้ผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบ โดยนายสำราญ รอดเพชร กล่าวว่า ขณะนี้แกนนำได้มีการหารือถึงคำสั่งศาลดังกล่าว โดยพล.ต.จำลองให้มาถามประชาชนว่าจะอยู่หรือไม่ หากอยู่จะต้องหามาตรการดื้อแพ่ง แต่เรายืนยันว่าเราเคารพในคำสั่งศาลและขอให้ศาลเมตตา ซึ่งผู้ชุมนุมต่างพากันปรบมือสนับสนุนและโห่ร้องให้แกนนำอยู่ต่อ ขณะเดียวกันมีผู้ชุมนุมบางส่วนทยอยเดินออกจากทำเนียบฯ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯและรมว. มหาดไทย กล่าวหลังศาลแพ่งมีคำสั่งให้ม็อบเลิกการชุมนุมว่า ขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมสลายการชุมนุมและเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที เพราะศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองตามที่สำนักเลขาฯนายกฯยื่นฟ้องขอให้ศาลคุ้มครองฉุกเฉิน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับบ้าน และตำรวจจะรักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด-ตร.จัดรถ110คันรับส่งม็อบเวลา 23.35 น. พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง โฆษกตำรวจ เปิดเผยว่า จะนำคำสั่งศาลไปแจ้งให้แกนนำพันธมิตรฯทราบภายในคืนนี้ การชุมนุมในทำเนียบเป็นความผิดเพราะถือเป็นสถานที่ราชการ จึงอยากให้ผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบ อีกทั้งศาลแพ่งมีคำสั่งออกมา จึงไม่มีความชอบธรรมใดๆ ที่จะชุมนุมในทำเนียบเมื่อถามว่าผู้ชุมนุมจะยื่นอุทธรณ์ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ศาลมีคำสั่งให้ปฏิบัติทันที อย่าลืมว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาว่าเป็นการชุมนุมพื้นที่สาธารณะ แต่ขณะนี้เป็นการบุกรุก เป็นการละเมิดต่อกฎหมาย ถือเป็นความผิดในตัวเองอยู่แล้ว และคำสั่งศาลแพ่งเป็นการตอกย้ำอยู่แล้ว สตช.ได้จัดรถ 110 คัน จอดอยู่บริเวณสนามม้านางเลิ้ง และรอบๆ พื้นที่เพื่อส่งผู้ชุมนุมกลับภูมิลำเนาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเมื่อถามว่า แกนนำที่ถูกออกหมายจับนั่งอยู่ตรงกลางโดยมีโล่มนุษย์อยู่ตรงกลาง พร้อมทั้งนำยางรถยนต์เข้าไปวางสุมเหมือนจะพยายามก่อเหตุขึ้นอีก โฆษกสตช. กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯพยายามทำความผิดซ้ำซากและให้เกิดความรุนแรงขึ้น ตำรวจจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากกลุ่มพันธมิตรฯใช้มาตรการรุนแรง ทางตำรวจจะต้องเข้าไประงับทันที

-ม็อบต่อรองย้ายออกตอน6โมงพล.ต.อ.พัชรวาทกล่าวย้ำอีกครั้งว่า ยืนยันว่าตำรวจจะยังไม่ใช้กำลังสลายการชุมนุม และยังไม่เข้าจับกุม 9 แกนนำพันธมิตรฯ จะให้เวลามอบตัว ยืนยันจะใช้ความละมุนละม่อมกับผู้ชุมนุม โดยไม่กังวลว่าจะมีการใช้ผู้หญิงและเด็กเป็นโล่กำบัง เพราะตำรวจทำตามกฎหมายนายศุภชัย ใจสมุทร เลขานุการรมว.มท.1 ให้สัมภาษณ์ว่า หลังศาลมีคำสั่งให้กลุ่มพันธมิตรฯออกจากทำเนียบ ตำรวจมีการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ในทำเนียบ เบื้องต้นทราบว่าพันธมิตรฯต่อรอง จะเคลื่อนย้ายออกจากทำเนียบในเวลา 6 โมงเช้า วันที่ 28 ส.ค. แต่เมื่อถึงเวลานั้นกลุ่มพันธมิตรฯ จะปฏิบัติตามหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง



ที่มา:http://www.matichon.co.th/khaosod/

ไม่มีความคิดเห็น: